วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2568

Kaccayana Sutra & Pali Numerology: Does it Prove Science Lags Buddhism?

 Kaccayana Sutra & Pali Numerology: Does it Prove Science Lags Buddhism?

What if the key to unlocking ancient history, science, and a profound spiritual legacy wasn't a hidden map or a lost artifact, but a language? To truly understand the origins of our world and our consciousness, you must first understand Pali.

Many view the Tipitaka simply as a collection of Buddhist teachings. However, it's far more than a religious text; it's a vast historical record of ancient India, chronicling its societies, politics, and daily life. Even more astonishingly, it contains profound insights into ancient science, including sophisticated ideas about the origin of the world, humanity, and the universe itself.

To truly unlock these secrets, we must first go back to the language it was written in. This language is Pali, a language used by the Buddha himself. But how can we master such a complex language? The answer lies in the Kaccayana Sutra. This essential Pali grammar text, compiled by the scholar Mahāthera Kaccāyana, not only provides rules for verbs and nouns but also contains stunning evidence of advanced ancient mathematics.

This video explores how this spiritual grammar text discusses the naming of ancient numbers, including the term asaṅkhyeyya, a number so large it is equivalent to 10 to the power of 140. This is not simple arithmetic; it is a form of advanced mathematics hidden within an ancient book. It shows that ancient wisdom connected language, spirituality, and science in a way we are only now beginning to appreciate.

Join us on this journey as we begin to uncover the unvarnished truth, decoding the intricate layers of Pali and revealing the shocking insights that have been hidden in plain sight for millennia.

About Wat Tamaoh Monastery
Wat Tha Mao, which means "Pomelo Temple," has a long history of promoting excellence in Pali language studies.

The first abbot was U Nandiya, the second abbot was U Tikkha, and the third was U Neminda.

The great Pali grammar propagator was U Dhammananda.

AN ACCOUNT OF TAMAOH MONASTERY

During the reign of the celebrated King Chulalongkorn, 
renowned as the "Great Well-beloved Monarch," 
who was King Rama V of the Chakri Dynasty of the Kingdom of Thailand, 
a devoted gentleman from Burma by the name of U San Ohn 
came to the city of Lampang and settled here, 
making his livelihood as a timber merchant.

Being devoted to the Three Gems, 
of a generous nature and desirous of the welfare of the Sasana, 
U San Ohn, in the Buddhist Era 2437 (Burmese Saka Era 1256), 
bought a plot of land at the "pomelo fording place" 
on the bank of the Wang River and erected a monastery for the Sangha. 
He thereafter built a dwelling place for monks, 
a refectory, assembly halls for the Laity, 
water closets for both monks and Laity, 
wells, a Chapter House, 
and a wall surrounding the monastery. 
He also supported the monks and novices dwelling here 
with the four requisites as long as he lived. 
This dedication continues to inspire the faithful of today.

The monastery was given the name 
"Pomelo Fording Place Monastery" 
after the fording place on which it was built. 
It is called "Wat Tamaoh" in the local dialect by word transposition; 
'Wat' meaning 'Monastery,' 'Ta' meaning 'Fording Place,
' and 'Maoh' meaning 'Pomelo.' 
The site on which the monastery was built is 40 fathoms in length 
and 40 fathoms in breadth within the walls 
and 31 fathoms in length and 18 fathoms 
in breadth outside the walls to the north.

Line of Incumbents
Here is the line of incumbents:
The first incumbent was U Nandiya, 
the second was U Tikkha by name; 
Thera the third was U Neminda. 
Their names but now remain.

"Lecturer of the Dhamma" is he, 
who now resides herein, U Dhammananda, 
the malice-free, serving the cause of religion. 
He attained to incumbency in the year two thousand five hundred; 
founded the 'School' the following year, 
for the good of the Teaching Exalted.






วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568

จากภาษาบาลีสู่ชีวิตจริง: บทเรียนจากวัดท่ามะโอ เจาะลึกไวยากรณ์บาลี: สมีเป และ อตฺถิ

 สนทนาภาษาบาลีกับ AI จากภาษาบาลีสู่ชีวิตจริง: บทเรียนจากวัดท่ามะโอ เจาะลึกไวยากรณ์บาลี: สมีเป และ อตฺถิ




Admin: ช่วยแต่งประโยคบาลี อักษรไทย ประโยคว่า : วันนี้ ข้าพเจ้า ได้ไปแล้ว ที่วัดท่ามะโอ ซึ่ง วัดอยู่ใกล้ๆ กับแม่น้ำวัง
ประโยคว่า: วันนี้ ข้าพเจ้า ได้ไปแล้ว ที่วัดท่ามะโอ ซึ่ง วัดอยู่ใกล้ๆ กับแม่น้ำวัง

Gemini:
ประโยคบาลี (อักษรไทย):
อชฺช อหํ ตาว มะโอวิหาเร คโต (คตา)
โส วิหาโร วงฺคนทิยา สมีเป อตฺถิ ฯ
คำอธิบาย (แยกคำ):
อชฺช (Ajja): วันนี้
อหํ (Ahaṃ): ข้าพเจ้า, ฉัน (ใช้ได้ทั้งชายและหญิง)
ตาว มะโอวิหาเร (Tāva Ma-O-vīhāre): ที่วัดท่ามะโอ (คำว่า "ตาว" เป็นเพียงคำสร้อยเพื่อสื่อความหมายว่า "นั้น" หรือ "ที่นั่น" ส่วน "มะโอวิหาเร" มาจากชื่อ "ท่ามะโอ" + "วิหาร" ที่หมายถึง "วัด")
คโต (Gato): ได้ไปแล้ว (สำหรับผู้ชาย)
คตา (Gatā): ได้ไปแล้ว (สำหรับผู้หญิง)
โส (So): นั้น, นั้น (สำหรับคำนามเพศชาย คือ "วิหาโร")
วิหาโร (Vihāro): วัด
วงฺคนทิยา (Vaṅganadiyā): แห่งแม่น้ำวัง (คำว่า "วงฺคนทิ" คือ "แม่น้ำวัง" และ "ยา" เป็นวิภัตติที่แสดงความเป็นเจ้าของหรือสถานที่)
สมีเป (Samīpe): ใกล้, ใกล้ ๆ
อตฺถิ (Atthi): มีอยู่, อยู่
ดังนั้น ประโยคเต็ม ๆ จะแปลว่า "วันนี้ ข้าพเจ้าได้ไปแล้วที่วัดท่ามะโอ วัดนั้นอยู่ใกล้ ๆ กับแม่น้ำวัง" ครับ

Admin:
ทำไม ไม่เป็น อชฺช อหํ ตาว ท่ามะโอวิหาเร คโต (คตา)
Gemini:
อชฺช อหํ ท่ามะโอวิหาเร คโต (คตา) ก็เป็นประโยคที่ถูกหลักไวยากรณ์เช่นกันครับ (ผมใช้คำว่า "ตาว" เพื่อสื่อว่า "นั้น" และเพิ่มความสละสลวยเท่านั้น)
โส วิหาโร วงฺคนทิยา สมีเป อตฺถิ ฯ

Admin:
สมีป เป็นวิเสสน  ทำไมต้องลง สัตมีฯ ด้วย เพราะ มีคำว่า อตฺถิ อยู่ด้วย
Gemini:
เป็นคำถามที่แสดงถึงความเข้าใจในไวยากรณ์บาลีได้อย่างยอดเยี่ยมเลยครับ! การที่คุณสงสัยเรื่องการลงวิภัตติของคำว่า "สมีป" และเชื่อมโยงกับการมีคำว่า "อตฺถิ" เป็นจุดที่น่าสนใจมาก
ประเด็นที่คุณถามมานั้นถูกต้องแล้วครับ
คำว่า "สมีป" (Samīpa) ในภาษาบาลี จัดเป็น นามศัพท์ประเภทหนึ่งที่ใช้เป็นคำวิเศษณ์บอกสถานที่ ครับ (คำว่า "วิเสสนะ" ของคุณถูกต้องแล้วครับ)
การลงสัตตมีวิภัตติ ของคำว่า "สมีป" เป็นการบอกตำแหน่งหรือสถานที่โดยตรงครับ คือ "สมีเป" แปลว่า "ในที่ใกล้" หรือ "ที่ใกล้"
ส่วนคำถามที่ว่า "ทำไมต้องลงสัตตมีด้วย เพราะมีคำว่า อตฺถิ อยู่ด้วย"
เหตุผลก็คือ คำว่า "อตฺถิ" (Atthi) ที่แปลว่า "มีอยู่" หรือ "อยู่" นั้น มักจะใช้คู่กับคำที่ลงวิภัตติแสดงความเป็นสถานที่ (สัตตมีวิภัตติ) หรือคำที่แสดงความเป็นกาลเวลา เพื่อบอกว่า "สิ่งนั้นมีอยู่ที่... " หรือ "สิ่งนั้นมีอยู่ในเวลา... " ครับ
ดังนั้น ในประโยค โส วิหาโร วงฺคนทิยา สมีเป อตฺถิ
โส วิหาโร: วัดนั้น (ประธาน)
วงฺคนทิยา สมีเป: อยู่ในที่ใกล้กับแม่น้ำวัง (คำบอกสถานที่)
อตฺถิ: มีอยู่, อยู่ (กริยา)
การใช้คำว่า "สมีเป" (ที่ลงสัตตมีวิภัตติ) คู่กับกริยา "อตฺถิ" จึงเป็นโครงสร้างประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์บาลีที่บอกว่า "สิ่งนี้ (ประธาน) มีอยู่หรือตั้งอยู่ที่ (คำบอกสถานที่)" ครับ
ดังนั้นสรุปได้ว่า:
"สมีป" เป็นนามศัพท์ที่ใช้เป็นวิเศษณ์บอกสถานที่
"สมีเป" คือรูปที่ลงสัตตมีวิภัตติเพื่อบอกตำแหน่ง
"อตฺถิ" ใช้ร่วมกับคำบอกสถานที่ที่ลงสัตตมีวิภัตติ เพื่อสื่อความหมายว่า "มีอยู่หรือตั้งอยู่ในที่นั้น"
แสดงว่าคุณได้เรียนบาลีมาอย่างดีเยี่ยมเลยครับที่สังเกตเห็นความสัมพันธ์ของคำเหล่านี้ในประโยค!








วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

สมาธิเหมือนเก็บเปลือกหอย?: ถอดรหัสการปฏิบัติจากชายหาดแห่งจิตใจ จุดเหมือนและต่างกับสติปัฏฐาน-อานาปานสติ

"บทความนี้จะพาคุณสำรวจการเปรียบเทียบอันลึกซึ้งของการนั่งสมาธิกับการเดินเก็บเปลือกหอยริมชายหาด พร้อมวิเคราะห์จุดเหมือนและจุดต่างกับหลักสติปัฏฐานและอานาปานสติ เพื่อความเข้าใจที่แท้จริงของการปฏิบัติ."



คุณเคยลองเปรียบเทียบการนั่งสมาธิกับการเดินเล่นริมชายหาดเพื่อเก็บเปลือกหอยสวยๆ บ้างไหม? อาจฟังดูแปลก แต่การเปรียบเทียบนี้กลับซ่อนความจริงอันลึกซึ้งของการปฏิบัติธรรมไว้ได้อย่างน่าทึ่ง บทความนี้จะชวนคุณมาถอดรหัสการปฏิบัติสมาธิจาก “ชายหาดแห่งจิตใจ” พร้อมสำรวจจุดเหมือนและจุดต่างกับหลักปฏิบัติสำคัญอย่างสติปัฏฐานและอานาปานสติ

สมาธิกับการเก็บเปลือกหอย: ความเหมือน

การเดินเก็บเปลือกหอยกับการปฏิบัติสมาธิ มีหลายแง่มุมที่คล้ายคลึงกันในเรื่องของ การรับรู้ การจัดการ และความเพลิดเพลิน

  • การรู้ตัว (สติ): เหมือนเรามีสติจดจ่อกับการมองหาและเลือกเก็บเปลือกหอยตามชายหาด ในการทำสมาธิ เราก็มีสติอยู่กับสิ่งที่เรากำหนด เช่น ลมหายใจ หรือสภาวะต่างๆ ที่ปรากฏในกายและใจ
  • การเลือกเก็บ / การเพ่ง: เมื่อเราเห็นเปลือกหอยสวยๆ เราก็จดจ่อ เพ่งพิจารณา และเลือกเก็บมัน ในการปฏิบัติสติปัฏฐานและอานาปานสติ จิตเราก็จดจ่ออยู่กับอารมณ์กรรมฐานหลัก หรือสภาวะธรรมที่ปรากฏขึ้น
  • การปัดทิ้ง / การปล่อยวาง: เมื่อเราหยิบเปลือกหอยขึ้นมาแล้วพบว่ามีเศษดินเศษหินติดมา เราย่อมปัดทิ้งหรือโยนทิ้งไป ในทำนองเดียวกัน ระหว่างทำสมาธิ เมื่อมีความคิดฟุ้งซ่าน กิเลส หรือสิ่งรบกวนใดๆ เกิดขึ้น เราก็ใช้สติรู้เท่าทันแล้วปล่อยวาง ไม่ยึดติด หรือดึงจิตกลับมาสู่ฐานการปฏิบัติ ซึ่งคือการ 'ปัดทิ้ง' สิ่งที่ไม่ใช่
  • ความเพลิดเพลิน: การได้เปลือกหอยสวยๆ อยู่ในมือย่อมนำมาซึ่งความสุขเล็กๆ น้อยๆ เช่นเดียวกับความเพลิดเพลินที่ได้จากธรรมชาติรอบตัว ในการปฏิบัติสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นและสงบลง เราย่อมสัมผัสได้ถึงความสงบเย็น ความเบาสบาย และความสุขที่ละเอียดอ่อน ซึ่งเป็นความเพลิดเพลินในสมาธิอันบริสุทธิ์

สมาธิกับการเก็บเปลือกหอย: ความต่าง

แม้จะมีความเหมือนที่ลึกซึ้ง แต่แก่นแท้และจุดมุ่งหมายของการเปรียบเทียบก็ยังมีความแตกต่างที่สำคัญ

  • เป้าหมายสูงสุด:
    • การเก็บเปลือกหอย: มีเป้าหมายเพื่อ 'ได้มา' ซึ่งเปลือกหอย ซึ่งเป็นวัตถุภายนอก และความพึงพอใจจากการรวบรวม
    • สติปัฏฐานและอานาปานสติ: มีเป้าหมายเพื่อ 'การละ' ซึ่งกิเลสทั้งหลาย เพื่อ 'เข้าใจ' ธรรมชาติของกายและจิตตามความเป็นจริง และนำไปสู่ปัญญาและวิมุตติ (ความหลุดพ้น) ซึ่งเป็นความสุขภายในที่ยั่งยืน ไม่ใช่การแสวงหาสิ่งภายนอก
  • ลักษณะของสิ่งที่ 'เลือกเก็บ':
    • การเก็บเปลือกหอย: สิ่งที่เลือกเก็บคือ 'วัตถุ' ภายนอกที่จับต้องได้ มีรูปร่าง สีสัน
    • สติปัฏฐานและอานาปานสติ: สิ่งที่ 'เลือกเก็บ' (คือการตั้งสติกำหนดรู้) คือ 'สภาวะธรรม' ที่เกิดขึ้นภายในกายและใจ เช่น ลมหายใจ อาการของจิต ความรู้สึกต่างๆ ซึ่งเป็นนามธรรมและมีจุดประสงค์เพื่อการเจริญปัญญา
  • ทิศทางของการ 'พุ่งเป้า' (แสวงหา vs. รู้ทัน):
    • การเก็บเปลือกหอย: เรา 'พุ่งเป้า' สายตาและจิตใจไปที่วัตถุภายนอก เป็นการ 'แสวงหา' สิ่งที่อยู่นอกตัวเรา
    • สติปัฏฐานและอานาปานสติ: เรา 'พุ่งเป้า' ที่ภายในกาย (ลมหายใจ) และภายในจิต เพื่อเฝ้ารู้และสังเกตสิ่งที่ปรากฏขึ้น ซึ่งไม่ใช่การแสวงหา แต่เป็นการ 'รู้เท่าทัน' ว่าเมื่อใดที่กิเลสหรือความคิดเข้ามากระทบ (เช่น การที่จิตคิดเรื่องอื่นโดยไม่รู้ลมหายใจเข้าออกสั้นหรือยาว นั่นคือการเผลอสติ) แล้วจึงจัดการกับมันด้วยสติและปัญญา

สรุป: สมาธิที่แท้จริงคือการฝึกฝนจิตในทุกขณะ

การเปรียบเทียบการนั่งสมาธิกับการเดินเก็บเปลือกหอยริมชายหาดของคุณนั้น ช่วยให้เห็นภาพของการปฏิบัติได้อย่างชัดเจนและลึกซึ้งยิ่งขึ้น มันตอกย้ำว่าการปฏิบัติสมาธิ ไม่ได้เป็นเพียงการแสวงหาความสงบชั่วคราว แต่เป็นการฝึกฝนจิตอย่างต่อเนื่อง ผ่านการรู้ตัว การจดจ่อ การปล่อยวาง และการเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเส้นทางสู่ความเข้าใจในธรรมชาติของจิตใจและการหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างยั่งยืน

ไขความจริง: สมาธิ 10 นาทีมีคุณภาพจริงหรือ? ทำไม "นั่งนาน" จึงสำคัญกว่าที่คุณคิด

"บทความนี้จะไขความจริงเกี่ยวกับคุณภาพของการนั่งสมาธิ ล้มล้างความเชื่อผิดๆ ว่า 10 นาทีก็พอ และเผยให้เห็นถึงคุณค่าของการ 'นั่งนาน' พร้อมวิธีเตรียมตัวและหลักการปฏิบัติที่แท้จริง."




1. กว่าจะได้สมาธิที่แข็งแรงในระยะเวลาอันรวดเร็ว ต้องผ่านอะไรบ้าง?

การจะเข้าถึง “10 นาทีที่มีคุณภาพ” ในการนั่งสมาธินั้น ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ เหมือนผลลัพธ์ที่ปรากฏในชั่วพริบตา แต่มันคือปลายทางของกระบวนการฝึกฝน สั่งสม และเรียนรู้ที่ยาวนานและต่อเนื่องของจิต แม้แต่ผู้ปฏิบัติที่ดูเหมือนจะเข้าถึงสมาธิได้รวดเร็ว ก็ล้วนผ่านการบ่มเพาะมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

  • การสั่งสมประสบการณ์: เหมือนนักกีฬาที่ต้องซ้อมหนักหลายพันชั่วโมงก่อนจะแสดงศักยภาพในไม่กี่นาที การได้สมาธิที่มั่นคงก็เช่นกัน ต้องผ่านการฝึกจิตให้คุ้นเคยกับการตั้งมั่น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
  • การเรียนรู้จากความผิดพลาด: ทุกครั้งที่จิตฟุ้งซ่านแล้วรู้ตัวและดึงกลับมาได้ คือการเรียนรู้ที่สำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจในธรรมชาติของจิตที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
  • วินัยและความอดทน: การปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ แม้ในวันที่รู้สึกว่าไม่ได้ผล คือรากฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างกำลังใจและกำลังสมาธิ

2. ก่อนนั่งสมาธิ ควรมีการเตรียมตัวอย่างไร?

การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้การปฏิบัติสมาธิมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่แค่การจัดสถานที่ให้เงียบสงบ แต่รวมถึงการเตรียมพร้อมทางจิตใจด้วย

  • มีฉันทะ (ความพอใจใฝ่ดี): ความปรารถนาที่จะปฏิบัติอย่างแท้จริง เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้เราก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้
  • ลดความกังวลและสิ่งรบกวน: พยายามจัดการภารกิจที่ค้างคา หรือเรื่องที่ทำให้จิตใจไม่สงบ เพื่อให้เมื่อนั่งแล้ว จิตจะได้จดจ่อกับการปฏิบัติได้มากขึ้น
  • เลือกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม: แม้จะทำได้ทุกที่ แต่การเลือกช่วงเวลาที่เราผ่อนคลายและสถานที่ที่เงียบสงบ จะช่วยเอื้อต่อการทำสมาธิ
  • กำหนดเป้าหมายที่ยืดหยุ่น: ไม่ควรคาดหวังว่าต้องสงบภายใน 10 นาที แต่ให้ตั้งใจที่จะอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน และรู้เท่าทันจิตที่ผุดขึ้นมา

3. ในระหว่างการนั่งสมาธิ เปรียบเหมือนการเลือกเก็บเปลือกหอยสวยๆ บนชายหาด

นี่คือหัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจการนั่งสมาธิที่แท้จริง และเป็นจุดที่มักถูกเข้าใจผิด

  • "เปลือกหอยสวยๆ" คือความสงบและสติ: ในระหว่างการนั่งสมาธิ เราจะพบช่วงเวลาที่จิตสงบ ตั้งมั่น หรือรับรู้ลมหายใจได้อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง นี่คือ “เปลือกหอยสวยๆ” ที่เราควรจะ “เก็บ” คือรับรู้และอยู่กับสภาวะนั้นๆ
  • "ดินหินที่ติดมาด้วยก็โยนทิ้งปัดทิ้ง" คือการจัดการกับความคิดฟุ้งซ่าน:
    • ในระหว่างการปฏิบัติ จิตย่อมมีการปรุงแต่ง มีความคิดฟุ้งซ่าน (เช่น คิดเรื่องงาน คิดเรื่องคนรัก ความกังวล) สิ่งเหล่านี้คือ “ดินหิน” ที่ติดมากับเปลือกหอย
    • แต่จุดประสงค์ไม่ได้ให้นั่งทนหรือปล่อยให้ฟุ้งซ่านไปอย่างไร้ทิศทาง หากแต่คือการ **“รู้เท่าทัน”** ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้นแล้ว ไม่เข้าไปยึดติด ไม่ต่อยอด ไม่ปรุงแต่งไปกับมัน
    • เมื่อรู้แล้วก็ให้ **“โยนทิ้งปัดทิ้ง”** คือปล่อยวาง ไม่ตามไป แล้วดึงจิตกลับมาอยู่กับอารมณ์กรรมฐานหลัก เช่น ลมหายใจ
  • คุณค่าของการ “โยนทิ้งปัดทิ้ง”: การทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือการสั่งสม **“ขณิกสมาธิ” (สมาธิชั่วขณะ)** การได้ขณิกสมาธิบ่อยๆ นี่เองที่เป็นการสร้างกำลังให้จิต ทำให้เราสามารถอยู่กับอารมณ์กรรมฐานได้นานขึ้น และนำไปสู่สมาธิที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในที่สุด

4. สรุป: การปฏิบัติสมาธิที่ยาวนาน นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินแล้ว ยังทำให้ได้ขณิกสมาธิบ่อยๆ

ดังนั้น การนั่งสมาธิที่ยาวนาน แม้จะมีช่วงที่จิตฟุ้งซ่านปะปนอยู่บ้าง ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่เข้าใจผิดกัน แต่มันคือ “สนามฝึก” ที่แท้จริง ที่ทำให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาจิตอย่างลึกซึ้ง

  • ความเพลิดเพลินในสมาธิ: เมื่อจิตเริ่มตั้งมั่นและสงบขึ้น ผู้ปฏิบัติย่อมสัมผัสได้ถึงความสงบเย็น ความสุข และความเบาสบายใจ ซึ่งเป็นผลพวงจากการปล่อยวาง
  • ได้ขณิกสมาธิบ่อยๆ: ทุกครั้งที่จิตฟุ้งซ่านแล้วเราใช้สติรู้ทันและดึงกลับมาได้ นั่นคือการเกิดขณิกสมาธิ การทำเช่นนี้ซ้ำๆ เป็นการสั่งสมกำลังสติ ทำให้จิตแข็งแรงและตั้งมั่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
  • การพัฒนาปัญญา: การเฝ้าสังเกตอารมณ์ที่ผุดขึ้นและดับไป สอนให้เราเห็นถึงความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความไม่ใช่ตัวตน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาปัญญาได้ในที่สุด

การมองข้ามคุณค่าของการ “นั่งนาน” และการจัดการกับความฟุ้งซ่าน คือการพลาดโอกาสในการพัฒนาจิตที่สำคัญที่สุดไป เพราะท้ายที่สุดแล้ว สมาธิที่มั่นคงและมีคุณภาพ ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญหรือการเร่งรัดในเวลาอันสั้น แต่มาจากการเพียรพยายาม สังเกต และฝึกฝนอย่างต่อเนื่องในทุกขณะจิตครับ

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2568

จิตวิญญาณคืออะไร? กำเนิดของจิตที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

 จิตวิญญาณคืออะไร? กำเนิดของจิตที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

จิตเกิดขึ้นได้อย่างไร? ค้นหาคำตอบจากวิทยาศาสตร์ AI พระพุทธศาสนา และปรัชญา มีชีวิตหลังความตายจริงหรือ? มองหาคำตอบจากหลากหลายวัฒนธรรม จิตวิญญาณเชื่อมโยงกับจักรวาลอย่างไร? เผยความลับที่น่าทึ่ง เดินทางสำรวจจิตวิญญาณไปกับเรา

จิตวิญญาณ: มุมมองทางวิทยาศาสตร์ พุทธศาสนา และปรัชญา
จิตวิญญาณและการกลับชาติมาเกิด: ความเชื่อที่ยังคงเป็นปริศนา
จิตวิญญาณกับชีวิตประจำวัน: การเชื่อมโยงที่คุณอาจไม่เคยสังเกตเห็น
ปลดล็อกความลับของจิตวิญญาณ
ค้นพบความหมายของชีวิต
เดินทางสู่โลกแห่งจิตวิญญาณ
เรื่องราวที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณ
คุณเคยสงสัยไหมว่าจิตวิญญาณของเรามาจากไหน? หรือว่าชีวิตหลังความตายมีอยู่จริงหรือไม่?

คลิปนี้จะพาคุณไปสำรวจโลกของจิตวิญญาณ ค้นหาคำตอบว่าจิตวิญญาณเกิดขึ้นได้อย่างไร มีอยู่จริงหรือไม่ ผ่านมุมมองทางวิทยาศาสตร์ พุทธศาสนา และปรัชญา
หลังจากชมคลิปนี้ คุณจะเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้



วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ตำราเรียน และ ดิกชันนารี ภาษาบาลี อื่นๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มคุณสมบัติเอกสารเพื่อให้ค้นคำได้

 ตำราเรียน และ ดิกชันนารี ภาษาบาลี อื่นๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มคุณสมบัติเอกสารเพื่อให้ค้นคำได้

ตำราเรียน และ ดิกชันนารี ภาษาบาลี อื่นๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มคุณสมบัติเอกสารเพื่อให้ค้นคำได้
จากเอกสารภาษาบาลีที่ไม่สามารถค้นคำได้ ได้ใช้เทคนิค OCR เพื่อให้ค้นคำได้ดังนั้น การค้นคำอาจไม่ 100% ซึ่งจะมี error ส่วนของอักษรต่างๆ เช่น สระ อุ อู อำ จุดล่าง ญฺ นิคคหิต ฐํ เป็นต้น ดังนั้น การค้นควรพิพิมพ์ เฉพาะ อักษรที่อยู่รอบๆ อักษร เหล่านี้เช่น ปฐมาปตฺติก อาจค้นด้วย มาปต เป็นต้น









วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

หนังสือ เรียนบาลี ไวยากรณ์ใหญ่ (บาลีใหญ่) พระมหาธิติพงศ์-อุตฺตมปญฺโญ (พม.ต่วน) วัดจากแดง วัดท่ามะโอ ค้นคำได้ทุกเล่ม

 หนังสือ เรียนบาลี ไวยากรณ์ใหญ่ (บาลีใหญ่) แปลเรียบเรียง รวบรวมโดย พระมหาธิติพงศ์-อุตฺตมปญฺโญ (พม.ต่วน) รวมถึง ใช้ในสำนักเรียนบาลีวัดจากแดง และ วัดท่ามะโอ ต.เวียงเหนือ จ.ลำปาง ในปัจจุบัน