วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

อะเสวนาจะพาลานัง มงคลสูตร ๓๘ ประการ

ปฐมํ มงฺคลสุตฺตํ
                    ขุทฺทกปาเฐ มงฺคลสุตฺตํ 
     [๕]   เอวมฺเม   สุตํ  ฯ  เอกํ  สมยํ  ภควา  สาวตฺถิยํ  วิหรติ 
เชตวเน   อนาถปิณฺฑิกสฺส   อาราเม   ฯ  อถ  โข  อญฺญตรา  เทวตา 
อภิกฺกนฺตาย     รตฺติยา     อภิกฺกนฺตวณฺณา     เกวลกปฺปํ     เชตวนํ 
โอภาเสตฺวา    เยน    ภควา   เตนุปสงฺกมิ   อุปสงฺกมิตฺวา   ภควนฺตํ 
อภิวาเทตฺวา   เอกมนฺตํ   อฏฺฐาสิ   เอกมนฺตํ  ฐิตา  โข  สา  เทวตา 
ภควนฺตํ คาถาย อชฺฌภาสิ ฯ 
     [๖] พหู เทวา มนุสฺสา จ        มงฺคลานิ อจินฺตยุํ
         อากงฺขมานา โสตฺถานํ       พฺรูหิ มงฺคลมุตฺตมํ ฯ 
         อเสวนา จ พาลานํ         ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา 
         ปูชา จ ปูชนียานํ ๒        เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ 
         ปฏิรูปเทสวาโส จ          ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา
       อตฺตสมฺมาปณิธิ จ           เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ 
         พาหุสจฺจญฺจ สิปฺปญฺจ         วินโย จ สุสิกฺขิโต 
         สุภาสิตา จ ยา วาจา       เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ 
         มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ           ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห 
         อนากุลา จ กมฺมนฺตา        เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ 
         ทานญฺจ ธมฺมจริยา จ        ญาตกานญฺจ สงฺคโห 
         อนวชฺชานิ กมฺมานิ          เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ 
         อารตี วิรตี ปาปา          มชฺชปานา จ สญฺญโม 
         อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ        เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ 
         คารโว จ นิวาโต จ        สนฺตุฏฺฐี จ กตญฺญุตา 
         กาเลน ธมฺมสฺสวนํ          เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ 
         ขนฺตี จ โสวจสฺสตา         สมณานญฺจ ทสฺสนํ 
         กาเลน ธมฺมสากจฺฉา        เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ 
         ตโป จ พฺรหฺมจริยญฺจ        อริยสจฺจานทสฺสนํ 
         นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ         เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ 
         ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ         จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ 
         อโสกํ วิรชํ เขมํ           เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ 
         เอตาทิสานิ กตฺวาน         สพฺพตฺถมปราชิตา๋ 
         สพฺพตฺถ โสตฺถึ คจฺฉนฺติ       ตนฺเตสํ มงฺคลมุตฺตมนฺติ ฯ 

บาลีสยามรัฐ เล่มที่๒๕ ข้อที่ ๕-๖ 

๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ครั้นปฐมยามล่วงไปเทวดาตนหนึ่งมีรัศมีงามยิ่งนัก
ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว
ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
[๖] เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก ผู้หวังความสวัสดี ได้พากันคิดมงคลทั้งหลาย
ขอพระองค์จงตรัสอุดมมงคล
พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาตอบว่า
การไม่คบคนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ๑ นี้เป็น
อุดมมงคล การอยู่ในประเทศอันสมควร ๑ความเป็นผู้มีบุญอันกระทำแล้ว
ในกาลก่อน ๑ การตั้งตนไว้ชอบ ๑ นี้เป็นอุดมมงคล พาหุสัจจะ ๑ ศิลป ๑
วินัยที่ศึกษาดีแล้ว ๑ วาจาสุภาสิต ๑ นี้เป็นอุดมมงคล การบำรุงมารดา
บิดา ๑ การสงเคราะห์บุตรภรรยา ๑ การงานอันไม่อากูล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
ทาน ๑ การประพฤติธรรม ๑การสงเคราะห์ญาติ ๑ กรรมอันไม่มีโทษ ๑
นี้เป็นอุดมมงคลการงดการเว้นจากบาป ๑ ความสำรวมจากการดื่มน้ำเมา ๑
ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑ นี้เป็นอุดมมงคลความเคารพ ๑
ความประพฤติถ่อมตน ๑ ความสันโดษ ๑ความกตัญญู ๑ การฟังธรรม
โดยกาล ๑ นี้เป็นอุดมมงคลความอดทน ๑ ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑ การ
ได้เห็นสมณะทั้งหลาย ๑ การสนทนาธรรมโดยกาล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
ความเพียร ๑ พรหมจรรย์ ๑ การเห็นอริยสัจ ๑ การกระทำนิพพานให้แจ้ง ๑
นี้เป็นอุดมมงคล จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ย่อมไม่
หวั่นไหว ๑ ไม่เศร้าโศก ๑ ปราศจากธุลี ๑ เป็นจิตเกษม ๑ นี้เป็น
อุดมมงคล เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทำมงคลเช่นนี้แล้ว เป็นผู้ไม่ปราชัย
ในข้าศึกทุกหมู่เหล่า ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน นี้เป็นอุดมมงคล
ของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น ฯ