วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2568

เจาะลึก! ทำไม Padorupasiddhi จึงเป็น 'ประตูสู่ความเชี่ยวชาญ' สำหรับนักศึกษาบาลีทั่วโลก

ก้าวสู่โลกแห่งภาษาบาลี

ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของผมครับ! วันนี้ผมอยากจะพาทุกท่านมาเจาะลึกเรื่องราวของ "ปทรูปสิทธิ" (Padorupasiddhi) คัมภีร์ไวยากรณ์บาลีที่ได้ชื่อว่ามีความเป็นระบบและเข้าใจง่ายที่สุดเล่มหนึ่งในโลก

ภาษาบาลีนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพุทธศาสนิกชน เพราะเป็นภาษาที่ใช้บันทึกพระไตรปิฎก แต่การศึกษาไวยากรณ์บาลีแบบดั้งเดิมก็เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก วิดีโอที่ผมทำขึ้นมานี้ (เป็นภาษาอังกฤษ) จะพาคุณไปสำรวจว่าทำไมคัมภีร์เล่มนี้ถึงได้ชื่อว่าเป็น "ประตูสู่ความเชี่ยวชาญ" และมีบทบาทสำคัญในการสืบทอดพระธรรมอย่างไร

ทำไมต้อง Padorupasiddhi?

ความท้าทายจากตำราโบราณ

ในอดีต การศึกษาไวยากรณ์บาลีส่วนใหญ่จะใช้ตำรา "กัจจายนพยากรณ์" (Kaccayana Vyakarana) ซึ่งเป็นตำราที่เก่าแก่และมีความซับซ้อนอย่างมาก เนื้อหาถูกจัดเรียงเป็นร้อยกรอง ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างยากลำบากและใช้เวลานานสำหรับผู้เรียนในยุคหลัง


การปฏิวัติสู่ความสมบูรณ์แบบ

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ศรีลังกาเมื่อประมาณ 800 กว่าปีที่แล้ว โดย พระพุทธปิยะเถระ พระภิกษุผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ท่านได้เรียบเรียงไวยากรณ์บาลีขึ้นมาใหม่โดยยึดหลักของกัจจายนะ แต่ปรับปรุงโครงสร้างให้มีความเป็นระบบ ระเบียบ และแบ่งหมวดหมู่ได้อย่างชัดเจนเหมือนการ "ร้อยพวงมาลัยให้ดูสวยงาม" ทำให้ผู้เรียนสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นมาก

มรดกที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน

วิดีโอนี้จะเผยเรื่องราวที่น่าทึ่งของการเดินทางของคัมภีร์เล่มนี้จากศรีลังกาไปยังเมียนมาร์และประเทศไทย รวมถึงบทบาทของ เจ้าชายอนุสรณ์มงคลการ ในการจัดพิมพ์ครั้งสำคัญ และความทุ่มเทของคณะสงฆ์วัดท่ามะโอที่ช่วยให้คัมภีร์เล่มนี้ยังคงอยู่และเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการศึกษาพระธรรมในยุคปัจจุบัน

รับชมวิดีโอ (เป็นภาษาอังกฤษ) ที่นี่




ผมหวังว่าบทความและวิดีโอนี้จะช่วยให้คุณได้เห็นถึงคุณค่าอันล้ำค่าของคัมภีร์ Padorupasiddhi และความสำคัญของการสืบทอดภูมิปัญญาจากอดีตสู่ปัจจุบัน ถ้าคุณสนใจในประวัติศาสตร์ พุทธศาสนา หรือภาษาบาลี วิดีโอนี้จะเปิดมุมมองใหม่ๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน อย่าลืมกด Subscribe และกดแจ้งเตือน เพื่อไม่พลาดวิดีโอดีๆ จากเรานะครับ!

Padorupasiddhi: A Deep Dive into the Pali Grammar Text That Revolutionized Learning

This video explores the incredible history of Padorupasiddhi, a key text that simplified Pali language studies. We uncover the story of its author, the Sri Lankan monk Buddhappiya Thera, and the vital role of Wat Tha Ma-O in preserving this invaluable legacy.

Discover why Padorupasiddhi is so different from ancient texts like the Kaccayana Vyakarana, and why it's considered a true "gateway to mastery."Padorupasiddhi: A Deep Dive into the Pali Grammar Text That Revolutionized Learning

This video explores the incredible history of Padorupasiddhi, a key text that simplified Pali language studies. We uncover the story of its author, the Sri Lankan monk Buddhappiya Thera, and the vital role of Wat Tha Ma-O in preserving this invaluable legacy.

Discover why Padorupasiddhi is so different from ancient texts like the Kaccayana Vyakarana, and why it's considered a true "gateway to mastery."


วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2568

Kaccayana Sutra & Pali Numerology: Does it Prove Science Lags Buddhism?

 Kaccayana Sutra & Pali Numerology: Does it Prove Science Lags Buddhism?

What if the key to unlocking ancient history, science, and a profound spiritual legacy wasn't a hidden map or a lost artifact, but a language? To truly understand the origins of our world and our consciousness, you must first understand Pali.

Many view the Tipitaka simply as a collection of Buddhist teachings. However, it's far more than a religious text; it's a vast historical record of ancient India, chronicling its societies, politics, and daily life. Even more astonishingly, it contains profound insights into ancient science, including sophisticated ideas about the origin of the world, humanity, and the universe itself.

To truly unlock these secrets, we must first go back to the language it was written in. This language is Pali, a language used by the Buddha himself. But how can we master such a complex language? The answer lies in the Kaccayana Sutra. This essential Pali grammar text, compiled by the scholar Mahāthera Kaccāyana, not only provides rules for verbs and nouns but also contains stunning evidence of advanced ancient mathematics.

This video explores how this spiritual grammar text discusses the naming of ancient numbers, including the term asaṅkhyeyya, a number so large it is equivalent to 10 to the power of 140. This is not simple arithmetic; it is a form of advanced mathematics hidden within an ancient book. It shows that ancient wisdom connected language, spirituality, and science in a way we are only now beginning to appreciate.

Join us on this journey as we begin to uncover the unvarnished truth, decoding the intricate layers of Pali and revealing the shocking insights that have been hidden in plain sight for millennia.

About Wat Tamaoh Monastery
Wat Tha Mao, which means "Pomelo Temple," has a long history of promoting excellence in Pali language studies.

The first abbot was U Nandiya, the second abbot was U Tikkha, and the third was U Neminda.

The great Pali grammar propagator was U Dhammananda.

AN ACCOUNT OF TAMAOH MONASTERY

During the reign of the celebrated King Chulalongkorn, 
renowned as the "Great Well-beloved Monarch," 
who was King Rama V of the Chakri Dynasty of the Kingdom of Thailand, 
a devoted gentleman from Burma by the name of U San Ohn 
came to the city of Lampang and settled here, 
making his livelihood as a timber merchant.

Being devoted to the Three Gems, 
of a generous nature and desirous of the welfare of the Sasana, 
U San Ohn, in the Buddhist Era 2437 (Burmese Saka Era 1256), 
bought a plot of land at the "pomelo fording place" 
on the bank of the Wang River and erected a monastery for the Sangha. 
He thereafter built a dwelling place for monks, 
a refectory, assembly halls for the Laity, 
water closets for both monks and Laity, 
wells, a Chapter House, 
and a wall surrounding the monastery. 
He also supported the monks and novices dwelling here 
with the four requisites as long as he lived. 
This dedication continues to inspire the faithful of today.

The monastery was given the name 
"Pomelo Fording Place Monastery" 
after the fording place on which it was built. 
It is called "Wat Tamaoh" in the local dialect by word transposition; 
'Wat' meaning 'Monastery,' 'Ta' meaning 'Fording Place,
' and 'Maoh' meaning 'Pomelo.' 
The site on which the monastery was built is 40 fathoms in length 
and 40 fathoms in breadth within the walls 
and 31 fathoms in length and 18 fathoms 
in breadth outside the walls to the north.

Line of Incumbents
Here is the line of incumbents:
The first incumbent was U Nandiya, 
the second was U Tikkha by name; 
Thera the third was U Neminda. 
Their names but now remain.

"Lecturer of the Dhamma" is he, 
who now resides herein, U Dhammananda, 
the malice-free, serving the cause of religion. 
He attained to incumbency in the year two thousand five hundred; 
founded the 'School' the following year, 
for the good of the Teaching Exalted.






วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568

จากภาษาบาลีสู่ชีวิตจริง: บทเรียนจากวัดท่ามะโอ เจาะลึกไวยากรณ์บาลี: สมีเป และ อตฺถิ

 สนทนาภาษาบาลีกับ AI จากภาษาบาลีสู่ชีวิตจริง: บทเรียนจากวัดท่ามะโอ เจาะลึกไวยากรณ์บาลี: สมีเป และ อตฺถิ




Admin: ช่วยแต่งประโยคบาลี อักษรไทย ประโยคว่า : วันนี้ ข้าพเจ้า ได้ไปแล้ว ที่วัดท่ามะโอ ซึ่ง วัดอยู่ใกล้ๆ กับแม่น้ำวัง
ประโยคว่า: วันนี้ ข้าพเจ้า ได้ไปแล้ว ที่วัดท่ามะโอ ซึ่ง วัดอยู่ใกล้ๆ กับแม่น้ำวัง

Gemini:
ประโยคบาลี (อักษรไทย):
อชฺช อหํ ตาว มะโอวิหาเร คโต (คตา)
โส วิหาโร วงฺคนทิยา สมีเป อตฺถิ ฯ
คำอธิบาย (แยกคำ):
อชฺช (Ajja): วันนี้
อหํ (Ahaṃ): ข้าพเจ้า, ฉัน (ใช้ได้ทั้งชายและหญิง)
ตาว มะโอวิหาเร (Tāva Ma-O-vīhāre): ที่วัดท่ามะโอ (คำว่า "ตาว" เป็นเพียงคำสร้อยเพื่อสื่อความหมายว่า "นั้น" หรือ "ที่นั่น" ส่วน "มะโอวิหาเร" มาจากชื่อ "ท่ามะโอ" + "วิหาร" ที่หมายถึง "วัด")
คโต (Gato): ได้ไปแล้ว (สำหรับผู้ชาย)
คตา (Gatā): ได้ไปแล้ว (สำหรับผู้หญิง)
โส (So): นั้น, นั้น (สำหรับคำนามเพศชาย คือ "วิหาโร")
วิหาโร (Vihāro): วัด
วงฺคนทิยา (Vaṅganadiyā): แห่งแม่น้ำวัง (คำว่า "วงฺคนทิ" คือ "แม่น้ำวัง" และ "ยา" เป็นวิภัตติที่แสดงความเป็นเจ้าของหรือสถานที่)
สมีเป (Samīpe): ใกล้, ใกล้ ๆ
อตฺถิ (Atthi): มีอยู่, อยู่
ดังนั้น ประโยคเต็ม ๆ จะแปลว่า "วันนี้ ข้าพเจ้าได้ไปแล้วที่วัดท่ามะโอ วัดนั้นอยู่ใกล้ ๆ กับแม่น้ำวัง" ครับ

Admin:
ทำไม ไม่เป็น อชฺช อหํ ตาว ท่ามะโอวิหาเร คโต (คตา)
Gemini:
อชฺช อหํ ท่ามะโอวิหาเร คโต (คตา) ก็เป็นประโยคที่ถูกหลักไวยากรณ์เช่นกันครับ (ผมใช้คำว่า "ตาว" เพื่อสื่อว่า "นั้น" และเพิ่มความสละสลวยเท่านั้น)
โส วิหาโร วงฺคนทิยา สมีเป อตฺถิ ฯ

Admin:
สมีป เป็นวิเสสน  ทำไมต้องลง สัตมีฯ ด้วย เพราะ มีคำว่า อตฺถิ อยู่ด้วย
Gemini:
เป็นคำถามที่แสดงถึงความเข้าใจในไวยากรณ์บาลีได้อย่างยอดเยี่ยมเลยครับ! การที่คุณสงสัยเรื่องการลงวิภัตติของคำว่า "สมีป" และเชื่อมโยงกับการมีคำว่า "อตฺถิ" เป็นจุดที่น่าสนใจมาก
ประเด็นที่คุณถามมานั้นถูกต้องแล้วครับ
คำว่า "สมีป" (Samīpa) ในภาษาบาลี จัดเป็น นามศัพท์ประเภทหนึ่งที่ใช้เป็นคำวิเศษณ์บอกสถานที่ ครับ (คำว่า "วิเสสนะ" ของคุณถูกต้องแล้วครับ)
การลงสัตตมีวิภัตติ ของคำว่า "สมีป" เป็นการบอกตำแหน่งหรือสถานที่โดยตรงครับ คือ "สมีเป" แปลว่า "ในที่ใกล้" หรือ "ที่ใกล้"
ส่วนคำถามที่ว่า "ทำไมต้องลงสัตตมีด้วย เพราะมีคำว่า อตฺถิ อยู่ด้วย"
เหตุผลก็คือ คำว่า "อตฺถิ" (Atthi) ที่แปลว่า "มีอยู่" หรือ "อยู่" นั้น มักจะใช้คู่กับคำที่ลงวิภัตติแสดงความเป็นสถานที่ (สัตตมีวิภัตติ) หรือคำที่แสดงความเป็นกาลเวลา เพื่อบอกว่า "สิ่งนั้นมีอยู่ที่... " หรือ "สิ่งนั้นมีอยู่ในเวลา... " ครับ
ดังนั้น ในประโยค โส วิหาโร วงฺคนทิยา สมีเป อตฺถิ
โส วิหาโร: วัดนั้น (ประธาน)
วงฺคนทิยา สมีเป: อยู่ในที่ใกล้กับแม่น้ำวัง (คำบอกสถานที่)
อตฺถิ: มีอยู่, อยู่ (กริยา)
การใช้คำว่า "สมีเป" (ที่ลงสัตตมีวิภัตติ) คู่กับกริยา "อตฺถิ" จึงเป็นโครงสร้างประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์บาลีที่บอกว่า "สิ่งนี้ (ประธาน) มีอยู่หรือตั้งอยู่ที่ (คำบอกสถานที่)" ครับ
ดังนั้นสรุปได้ว่า:
"สมีป" เป็นนามศัพท์ที่ใช้เป็นวิเศษณ์บอกสถานที่
"สมีเป" คือรูปที่ลงสัตตมีวิภัตติเพื่อบอกตำแหน่ง
"อตฺถิ" ใช้ร่วมกับคำบอกสถานที่ที่ลงสัตตมีวิภัตติ เพื่อสื่อความหมายว่า "มีอยู่หรือตั้งอยู่ในที่นั้น"
แสดงว่าคุณได้เรียนบาลีมาอย่างดีเยี่ยมเลยครับที่สังเกตเห็นความสัมพันธ์ของคำเหล่านี้ในประโยค!








วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

สมาธิเหมือนเก็บเปลือกหอย?: ถอดรหัสการปฏิบัติจากชายหาดแห่งจิตใจ จุดเหมือนและต่างกับสติปัฏฐาน-อานาปานสติ

"บทความนี้จะพาคุณสำรวจการเปรียบเทียบอันลึกซึ้งของการนั่งสมาธิกับการเดินเก็บเปลือกหอยริมชายหาด พร้อมวิเคราะห์จุดเหมือนและจุดต่างกับหลักสติปัฏฐานและอานาปานสติ เพื่อความเข้าใจที่แท้จริงของการปฏิบัติ."



คุณเคยลองเปรียบเทียบการนั่งสมาธิกับการเดินเล่นริมชายหาดเพื่อเก็บเปลือกหอยสวยๆ บ้างไหม? อาจฟังดูแปลก แต่การเปรียบเทียบนี้กลับซ่อนความจริงอันลึกซึ้งของการปฏิบัติธรรมไว้ได้อย่างน่าทึ่ง บทความนี้จะชวนคุณมาถอดรหัสการปฏิบัติสมาธิจาก “ชายหาดแห่งจิตใจ” พร้อมสำรวจจุดเหมือนและจุดต่างกับหลักปฏิบัติสำคัญอย่างสติปัฏฐานและอานาปานสติ

สมาธิกับการเก็บเปลือกหอย: ความเหมือน

การเดินเก็บเปลือกหอยกับการปฏิบัติสมาธิ มีหลายแง่มุมที่คล้ายคลึงกันในเรื่องของ การรับรู้ การจัดการ และความเพลิดเพลิน

  • การรู้ตัว (สติ): เหมือนเรามีสติจดจ่อกับการมองหาและเลือกเก็บเปลือกหอยตามชายหาด ในการทำสมาธิ เราก็มีสติอยู่กับสิ่งที่เรากำหนด เช่น ลมหายใจ หรือสภาวะต่างๆ ที่ปรากฏในกายและใจ
  • การเลือกเก็บ / การเพ่ง: เมื่อเราเห็นเปลือกหอยสวยๆ เราก็จดจ่อ เพ่งพิจารณา และเลือกเก็บมัน ในการปฏิบัติสติปัฏฐานและอานาปานสติ จิตเราก็จดจ่ออยู่กับอารมณ์กรรมฐานหลัก หรือสภาวะธรรมที่ปรากฏขึ้น
  • การปัดทิ้ง / การปล่อยวาง: เมื่อเราหยิบเปลือกหอยขึ้นมาแล้วพบว่ามีเศษดินเศษหินติดมา เราย่อมปัดทิ้งหรือโยนทิ้งไป ในทำนองเดียวกัน ระหว่างทำสมาธิ เมื่อมีความคิดฟุ้งซ่าน กิเลส หรือสิ่งรบกวนใดๆ เกิดขึ้น เราก็ใช้สติรู้เท่าทันแล้วปล่อยวาง ไม่ยึดติด หรือดึงจิตกลับมาสู่ฐานการปฏิบัติ ซึ่งคือการ 'ปัดทิ้ง' สิ่งที่ไม่ใช่
  • ความเพลิดเพลิน: การได้เปลือกหอยสวยๆ อยู่ในมือย่อมนำมาซึ่งความสุขเล็กๆ น้อยๆ เช่นเดียวกับความเพลิดเพลินที่ได้จากธรรมชาติรอบตัว ในการปฏิบัติสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นและสงบลง เราย่อมสัมผัสได้ถึงความสงบเย็น ความเบาสบาย และความสุขที่ละเอียดอ่อน ซึ่งเป็นความเพลิดเพลินในสมาธิอันบริสุทธิ์

สมาธิกับการเก็บเปลือกหอย: ความต่าง

แม้จะมีความเหมือนที่ลึกซึ้ง แต่แก่นแท้และจุดมุ่งหมายของการเปรียบเทียบก็ยังมีความแตกต่างที่สำคัญ

  • เป้าหมายสูงสุด:
    • การเก็บเปลือกหอย: มีเป้าหมายเพื่อ 'ได้มา' ซึ่งเปลือกหอย ซึ่งเป็นวัตถุภายนอก และความพึงพอใจจากการรวบรวม
    • สติปัฏฐานและอานาปานสติ: มีเป้าหมายเพื่อ 'การละ' ซึ่งกิเลสทั้งหลาย เพื่อ 'เข้าใจ' ธรรมชาติของกายและจิตตามความเป็นจริง และนำไปสู่ปัญญาและวิมุตติ (ความหลุดพ้น) ซึ่งเป็นความสุขภายในที่ยั่งยืน ไม่ใช่การแสวงหาสิ่งภายนอก
  • ลักษณะของสิ่งที่ 'เลือกเก็บ':
    • การเก็บเปลือกหอย: สิ่งที่เลือกเก็บคือ 'วัตถุ' ภายนอกที่จับต้องได้ มีรูปร่าง สีสัน
    • สติปัฏฐานและอานาปานสติ: สิ่งที่ 'เลือกเก็บ' (คือการตั้งสติกำหนดรู้) คือ 'สภาวะธรรม' ที่เกิดขึ้นภายในกายและใจ เช่น ลมหายใจ อาการของจิต ความรู้สึกต่างๆ ซึ่งเป็นนามธรรมและมีจุดประสงค์เพื่อการเจริญปัญญา
  • ทิศทางของการ 'พุ่งเป้า' (แสวงหา vs. รู้ทัน):
    • การเก็บเปลือกหอย: เรา 'พุ่งเป้า' สายตาและจิตใจไปที่วัตถุภายนอก เป็นการ 'แสวงหา' สิ่งที่อยู่นอกตัวเรา
    • สติปัฏฐานและอานาปานสติ: เรา 'พุ่งเป้า' ที่ภายในกาย (ลมหายใจ) และภายในจิต เพื่อเฝ้ารู้และสังเกตสิ่งที่ปรากฏขึ้น ซึ่งไม่ใช่การแสวงหา แต่เป็นการ 'รู้เท่าทัน' ว่าเมื่อใดที่กิเลสหรือความคิดเข้ามากระทบ (เช่น การที่จิตคิดเรื่องอื่นโดยไม่รู้ลมหายใจเข้าออกสั้นหรือยาว นั่นคือการเผลอสติ) แล้วจึงจัดการกับมันด้วยสติและปัญญา

สรุป: สมาธิที่แท้จริงคือการฝึกฝนจิตในทุกขณะ

การเปรียบเทียบการนั่งสมาธิกับการเดินเก็บเปลือกหอยริมชายหาดของคุณนั้น ช่วยให้เห็นภาพของการปฏิบัติได้อย่างชัดเจนและลึกซึ้งยิ่งขึ้น มันตอกย้ำว่าการปฏิบัติสมาธิ ไม่ได้เป็นเพียงการแสวงหาความสงบชั่วคราว แต่เป็นการฝึกฝนจิตอย่างต่อเนื่อง ผ่านการรู้ตัว การจดจ่อ การปล่อยวาง และการเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเส้นทางสู่ความเข้าใจในธรรมชาติของจิตใจและการหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างยั่งยืน

ไขความจริง: สมาธิ 10 นาทีมีคุณภาพจริงหรือ? ทำไม "นั่งนาน" จึงสำคัญกว่าที่คุณคิด

"บทความนี้จะไขความจริงเกี่ยวกับคุณภาพของการนั่งสมาธิ ล้มล้างความเชื่อผิดๆ ว่า 10 นาทีก็พอ และเผยให้เห็นถึงคุณค่าของการ 'นั่งนาน' พร้อมวิธีเตรียมตัวและหลักการปฏิบัติที่แท้จริง."




1. กว่าจะได้สมาธิที่แข็งแรงในระยะเวลาอันรวดเร็ว ต้องผ่านอะไรบ้าง?

การจะเข้าถึง “10 นาทีที่มีคุณภาพ” ในการนั่งสมาธินั้น ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ เหมือนผลลัพธ์ที่ปรากฏในชั่วพริบตา แต่มันคือปลายทางของกระบวนการฝึกฝน สั่งสม และเรียนรู้ที่ยาวนานและต่อเนื่องของจิต แม้แต่ผู้ปฏิบัติที่ดูเหมือนจะเข้าถึงสมาธิได้รวดเร็ว ก็ล้วนผ่านการบ่มเพาะมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

  • การสั่งสมประสบการณ์: เหมือนนักกีฬาที่ต้องซ้อมหนักหลายพันชั่วโมงก่อนจะแสดงศักยภาพในไม่กี่นาที การได้สมาธิที่มั่นคงก็เช่นกัน ต้องผ่านการฝึกจิตให้คุ้นเคยกับการตั้งมั่น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
  • การเรียนรู้จากความผิดพลาด: ทุกครั้งที่จิตฟุ้งซ่านแล้วรู้ตัวและดึงกลับมาได้ คือการเรียนรู้ที่สำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจในธรรมชาติของจิตที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
  • วินัยและความอดทน: การปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ แม้ในวันที่รู้สึกว่าไม่ได้ผล คือรากฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างกำลังใจและกำลังสมาธิ

2. ก่อนนั่งสมาธิ ควรมีการเตรียมตัวอย่างไร?

การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้การปฏิบัติสมาธิมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่แค่การจัดสถานที่ให้เงียบสงบ แต่รวมถึงการเตรียมพร้อมทางจิตใจด้วย

  • มีฉันทะ (ความพอใจใฝ่ดี): ความปรารถนาที่จะปฏิบัติอย่างแท้จริง เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้เราก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้
  • ลดความกังวลและสิ่งรบกวน: พยายามจัดการภารกิจที่ค้างคา หรือเรื่องที่ทำให้จิตใจไม่สงบ เพื่อให้เมื่อนั่งแล้ว จิตจะได้จดจ่อกับการปฏิบัติได้มากขึ้น
  • เลือกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม: แม้จะทำได้ทุกที่ แต่การเลือกช่วงเวลาที่เราผ่อนคลายและสถานที่ที่เงียบสงบ จะช่วยเอื้อต่อการทำสมาธิ
  • กำหนดเป้าหมายที่ยืดหยุ่น: ไม่ควรคาดหวังว่าต้องสงบภายใน 10 นาที แต่ให้ตั้งใจที่จะอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน และรู้เท่าทันจิตที่ผุดขึ้นมา

3. ในระหว่างการนั่งสมาธิ เปรียบเหมือนการเลือกเก็บเปลือกหอยสวยๆ บนชายหาด

นี่คือหัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจการนั่งสมาธิที่แท้จริง และเป็นจุดที่มักถูกเข้าใจผิด

  • "เปลือกหอยสวยๆ" คือความสงบและสติ: ในระหว่างการนั่งสมาธิ เราจะพบช่วงเวลาที่จิตสงบ ตั้งมั่น หรือรับรู้ลมหายใจได้อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง นี่คือ “เปลือกหอยสวยๆ” ที่เราควรจะ “เก็บ” คือรับรู้และอยู่กับสภาวะนั้นๆ
  • "ดินหินที่ติดมาด้วยก็โยนทิ้งปัดทิ้ง" คือการจัดการกับความคิดฟุ้งซ่าน:
    • ในระหว่างการปฏิบัติ จิตย่อมมีการปรุงแต่ง มีความคิดฟุ้งซ่าน (เช่น คิดเรื่องงาน คิดเรื่องคนรัก ความกังวล) สิ่งเหล่านี้คือ “ดินหิน” ที่ติดมากับเปลือกหอย
    • แต่จุดประสงค์ไม่ได้ให้นั่งทนหรือปล่อยให้ฟุ้งซ่านไปอย่างไร้ทิศทาง หากแต่คือการ **“รู้เท่าทัน”** ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้นแล้ว ไม่เข้าไปยึดติด ไม่ต่อยอด ไม่ปรุงแต่งไปกับมัน
    • เมื่อรู้แล้วก็ให้ **“โยนทิ้งปัดทิ้ง”** คือปล่อยวาง ไม่ตามไป แล้วดึงจิตกลับมาอยู่กับอารมณ์กรรมฐานหลัก เช่น ลมหายใจ
  • คุณค่าของการ “โยนทิ้งปัดทิ้ง”: การทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือการสั่งสม **“ขณิกสมาธิ” (สมาธิชั่วขณะ)** การได้ขณิกสมาธิบ่อยๆ นี่เองที่เป็นการสร้างกำลังให้จิต ทำให้เราสามารถอยู่กับอารมณ์กรรมฐานได้นานขึ้น และนำไปสู่สมาธิที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในที่สุด

4. สรุป: การปฏิบัติสมาธิที่ยาวนาน นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินแล้ว ยังทำให้ได้ขณิกสมาธิบ่อยๆ

ดังนั้น การนั่งสมาธิที่ยาวนาน แม้จะมีช่วงที่จิตฟุ้งซ่านปะปนอยู่บ้าง ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่เข้าใจผิดกัน แต่มันคือ “สนามฝึก” ที่แท้จริง ที่ทำให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาจิตอย่างลึกซึ้ง

  • ความเพลิดเพลินในสมาธิ: เมื่อจิตเริ่มตั้งมั่นและสงบขึ้น ผู้ปฏิบัติย่อมสัมผัสได้ถึงความสงบเย็น ความสุข และความเบาสบายใจ ซึ่งเป็นผลพวงจากการปล่อยวาง
  • ได้ขณิกสมาธิบ่อยๆ: ทุกครั้งที่จิตฟุ้งซ่านแล้วเราใช้สติรู้ทันและดึงกลับมาได้ นั่นคือการเกิดขณิกสมาธิ การทำเช่นนี้ซ้ำๆ เป็นการสั่งสมกำลังสติ ทำให้จิตแข็งแรงและตั้งมั่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
  • การพัฒนาปัญญา: การเฝ้าสังเกตอารมณ์ที่ผุดขึ้นและดับไป สอนให้เราเห็นถึงความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความไม่ใช่ตัวตน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาปัญญาได้ในที่สุด

การมองข้ามคุณค่าของการ “นั่งนาน” และการจัดการกับความฟุ้งซ่าน คือการพลาดโอกาสในการพัฒนาจิตที่สำคัญที่สุดไป เพราะท้ายที่สุดแล้ว สมาธิที่มั่นคงและมีคุณภาพ ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญหรือการเร่งรัดในเวลาอันสั้น แต่มาจากการเพียรพยายาม สังเกต และฝึกฝนอย่างต่อเนื่องในทุกขณะจิตครับ

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2568

จิตวิญญาณคืออะไร? กำเนิดของจิตที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

 จิตวิญญาณคืออะไร? กำเนิดของจิตที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

จิตเกิดขึ้นได้อย่างไร? ค้นหาคำตอบจากวิทยาศาสตร์ AI พระพุทธศาสนา และปรัชญา มีชีวิตหลังความตายจริงหรือ? มองหาคำตอบจากหลากหลายวัฒนธรรม จิตวิญญาณเชื่อมโยงกับจักรวาลอย่างไร? เผยความลับที่น่าทึ่ง เดินทางสำรวจจิตวิญญาณไปกับเรา

จิตวิญญาณ: มุมมองทางวิทยาศาสตร์ พุทธศาสนา และปรัชญา
จิตวิญญาณและการกลับชาติมาเกิด: ความเชื่อที่ยังคงเป็นปริศนา
จิตวิญญาณกับชีวิตประจำวัน: การเชื่อมโยงที่คุณอาจไม่เคยสังเกตเห็น
ปลดล็อกความลับของจิตวิญญาณ
ค้นพบความหมายของชีวิต
เดินทางสู่โลกแห่งจิตวิญญาณ
เรื่องราวที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณ
คุณเคยสงสัยไหมว่าจิตวิญญาณของเรามาจากไหน? หรือว่าชีวิตหลังความตายมีอยู่จริงหรือไม่?

คลิปนี้จะพาคุณไปสำรวจโลกของจิตวิญญาณ ค้นหาคำตอบว่าจิตวิญญาณเกิดขึ้นได้อย่างไร มีอยู่จริงหรือไม่ ผ่านมุมมองทางวิทยาศาสตร์ พุทธศาสนา และปรัชญา
หลังจากชมคลิปนี้ คุณจะเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้



วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ตำราเรียน และ ดิกชันนารี ภาษาบาลี อื่นๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มคุณสมบัติเอกสารเพื่อให้ค้นคำได้

 ตำราเรียน และ ดิกชันนารี ภาษาบาลี อื่นๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มคุณสมบัติเอกสารเพื่อให้ค้นคำได้

ตำราเรียน และ ดิกชันนารี ภาษาบาลี อื่นๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มคุณสมบัติเอกสารเพื่อให้ค้นคำได้
จากเอกสารภาษาบาลีที่ไม่สามารถค้นคำได้ ได้ใช้เทคนิค OCR เพื่อให้ค้นคำได้ดังนั้น การค้นคำอาจไม่ 100% ซึ่งจะมี error ส่วนของอักษรต่างๆ เช่น สระ อุ อู อำ จุดล่าง ญฺ นิคคหิต ฐํ เป็นต้น ดังนั้น การค้นควรพิพิมพ์ เฉพาะ อักษรที่อยู่รอบๆ อักษร เหล่านี้เช่น ปฐมาปตฺติก อาจค้นด้วย มาปต เป็นต้น









วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

หนังสือ เรียนบาลี ไวยากรณ์ใหญ่ (บาลีใหญ่) พระมหาธิติพงศ์-อุตฺตมปญฺโญ (พม.ต่วน) วัดจากแดง วัดท่ามะโอ ค้นคำได้ทุกเล่ม

 หนังสือ เรียนบาลี ไวยากรณ์ใหญ่ (บาลีใหญ่) แปลเรียบเรียง รวบรวมโดย พระมหาธิติพงศ์-อุตฺตมปญฺโญ (พม.ต่วน) รวมถึง ใช้ในสำนักเรียนบาลีวัดจากแดง และ วัดท่ามะโอ ต.เวียงเหนือ จ.ลำปาง ในปัจจุบัน





วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

หนังสือตำราเรียนบาลี พระพุทธศาสนา พระอาจารย์ มหาสมปอง มุทิโต ฟรี PDF ค้นคำได้

หนังสือตำราเรียนบาลี พระพุทธศาสนา พระอาจารย์ มหาสมปอง มุทิโต ฟรี PDF ค้นคำได้

 

คู่มือพระไตรปิฎก63 (รวม)

พุทธประวัติ พุทธกิจ ๔๕ พรรษา

พุทธประวัติ ๙ มหานครสำคัญ

คู่มือเดินทางสู่สังเวชนียสถานอินเดีย

โลกนีติ

คู่มือกฐิน

ปัญจมูล

มูลนิรุตติ กัจจายนสูตร และธาตฺวานุกรม

ลายแทงขุมทรัยพ์ ดินแดนพระพุทธภูมิ

อตฺถานุกฺกมทีปิกา กิริยากิตก์ในธัมมปทัฏฐ

อภิธัมมัตถสังคหแปล๖๒ ป๑

อภิธานวรรณนา

อภิธรรม1

ปทรูปสิทธิ

สนธิกัณฑ์

นามกัณฑ์

การกกัณฑ์

สมาสกัณฑ์

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567

หนังสือรวม พระไตรปิฎก พระสูตร อรรถกถา ฎีกา อนฺย ภาษาบาลี อักษรไทย

 หนังสือรวม พระไตรปิฎก พระสูตร อรรถกถา ฎีกา อนฺย ภาษาบาลี อักษรไทย

ประกอบไปด้วย หนังสือภาษาบาลี อักษรไทย ซึ่งประกอบไปด้วย หนังสือในหมวดของ ติปิฎก อฏฐกถา ฎีกา และ อนฺย ที่รวบรวมเผยแพร่ ในเวปไซต์ของ Pāḷi Tipiṭaka เป็นภาษาบาลี ด้วยอักษรประเทศต่างๆ โดยระบุข้อจำกัดใช้ ไฟล์ข้อมูลเป็นแบบ XML ห้ามจำหน่าย 
ดังนั้น ผู้จัดทำเห็นว่าเป็นประโยชน์ กับวงการศึกษาพระพุทธศาสนาในเมืองไทย จึงได้นำมารวบรวม เป็นรูปแบบไฟล์ Ebook มาตรฐาน EPub เพื่อแจกจ่ายเป็น ธรรมทาน 
**เพื่อให้เป็นไปตามเจตจำนงค์ของ องค์กร ที่รวบรวม เริ่มต้น สำหรับผู้นำไปใช้ ดังนั้น ห้ามจำหน่าย ในรูปแบบ ไฟล์เต็ม หรือ แยกย่อย E-Book Digital EPub html xhtml และ xml**
In order to comply with the intention of the organization that collects, starts for users, so do not sell in the form of full files or separate E-Book Digital EPub html xhtml and xml.


Open Application




วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2567

กำเนิดโลกและชีวิตตามพระพุทธพจน์: มองโลกใหม่ผ่านพระไตรปิฎก

 อธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับพระไตรปิฎก และความสำคัญของการศึกษาเรื่องกำเนิด

โลกเกิดได้อย่างไร? ตามคำสอนในพระไตรปิฎก

ตำนานการสร้างโลกแบบพุทธ: มุมมองที่น่าสนใจ

ก่อนที่เราจะมีชีวิต: เรื่องราวจากพระไตรปิฎก

สุดยอดปริศนา: โลกและชีวิตเกิดจากอะไรกันแน่? ตามหาคำตอบในพระไตรปิฎก

เผยความลับ! กำเนิดโลกและชีวิตที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

วิทยาศาสตร์ VS พระพุทธศาสนา: ใครจะเฉลยปริศนาแห่งชีวิตได้ดีกว่ากัน?

ท่องไปในจักรวาลแห่งพระไตรปิฎก: ค้นพบเรื่องราวกำเนิดโลก

โลกและชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร? มนุษย์มาจากไหน?

กำเนิดโลกตามพระพุทธศาสนา

พระไตรปิฎกกล่าวถึงกำเนิดโลกอย่างไร

ตำนานการสร้างโลกในพุทธศาสนา

เปรียบเทียบกำเนิดโลกในพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์

กำเนิดโลกตามพระไตรปิฎก อัคคัญญสูตร

โลกเกิดจากอะไร พระพุทธศาสนา

การเวียนว่ายตายเกิดและกำเนิดโลก

เปรียบเทียบกำเนิดโลกในพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์

เรื่องราวก่อนเกิดในพระพุทธศาสนา


#พระไตรปิฎก #กำเนิดโลก #กำเนิดชีวิต




วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2567

หอไตร หรือ หอพระไตรปิฎก อาคารเก็บ พระไตรปิฎกภาษาบาลี อักษรล้านนา

 หอไตร หรือ หอพระไตรปิฎก อาคารเก็บ พระไตรปิฎกภาษาบาลี อักษรล้านนา

#ภาพเก่าเล่าเรื่อง
วัดโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ทางภาคเหนือ จะมีอาคารเล็กๆ
เรือนสูงอยู่ เพื่อไว้เก็บพระไตรปิฎก หรือจะเรียกว่า หอไตรฯ 
แต่จากการสืบค้นพบว่า พระไตรปิฎก ที่จานด้วยอักษรล้านนา จริงๆ ก่อนปี 2535-3540 นั้นมีหลงเหลือน้อยมาก จนแทบไม่พบ จึงเป็นที่มาในปีหลัง ราวปี พศ.2535-2540 อาจารย์ นักวิชาการ ภาษาล้านนา และ วัดที่เป็นสำนักเรียนในภาคเหนือจึงร่วมกัน คัดพระไตรปิฎกภาษาบาลี อักษรล้านนา ขึ้นมาใหม่ ถอดอักษรมาจาก ฉบับบาลีสยามรัฐ อักษรไทย


วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2567

ดิกชันนารี บาลี ไทย บาลีดิก ฉบับ ThaiNewGenDict มีที่มาอย่างไร เรียนภาษาบาลี เพื่ออะไร

 เรียนบาลีเพื่ออะไร ดิกชันนารีบาลี Thai NewGenDict จะช่วยการเรียนรู้ภาษาบาลีได้อย่างไร

เริ่มต้นจากการตั้งคำถาม ว่าทำไม คนไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา แต่กลับรู้ความหมายในภาษาบาลีกันน้อย ถ้าเทียบกับภาษาอังกฤษ และ ภาษาอื่นๆ ทั้งๆที่การเรียนรู้ภาษาอื่นอย่างเป็นกิจลักษณะนั้น นอกจากจะมาที่หลังภาษาบาลี ประกอบกับ คำไทย มีการยืมหรือนำคำในภาษาบาลีมาใช้มากมาย ตรงนี้จึงเป็นที่มาว่าทำไมจึงต้องทำโปรแกรมดิกชันนารี บาลี ไทย ขึ้นมา
วิธีการ และ แนวคิด จะทำอย่างไร เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด 
จากการที่ได้เรียนภาษาบาลี ไวยยากรณ์ใหญ่ จากวัดท่ามะโอ ต.วังเหนือ อ.เมือง จ.ลำปาง ประกอบกับ การที่ได้ทำงานกับ ทีมงานต่างชาติ มานานหลายสิบปี จึงพบว่า ปัญหาหนึ่ง ของการเรียนรู้ภาษาบาลีนั้นอยู่ที่ ดิกชันนารี ยกตัวอย่างเช่น ภาษาอังกฤษ จะมีดิกชันนารีที่เรียกว่า English to English Dictionary ซึ่งจะอธิบาย คำในภาษาอังกฤษ ด้วยภาษาอังกฤษด้วยถ้อยคำง่ายๆ และ จะบ่งบอกถึงบริบทในการใช้คำต่างๆ และอาจรวมแฝงไปด้วยไวยากรณ์ ซึ่งก็คล้ายๆกับ ภาษาบาลี ไวยกรณ์ใหญ่ ที่เรียนจากตำราโบราณ เป็นภาษาบาลี ประกอบกับ พระไตรปิฎก ภาษาบาลี ยังแบ่งออกเป็น อรรถกถา และ ฎีกา เพื่ออธิบายคำศัพท์ รวมถึงรับรองความเป็นพุทธพจน์ อีกด้วย
ในปัจจุบัน ประเทศไทยเอง พระไตรปิฎกที่ถูกแปลจากภาษาบาลี ที่เป็นภาษาไทย มีเพียงพระสุตตันตปิฎกเท่านั้น ซึ่งหลายคนยังไม่เข้าใจ พระไตรปิฎก ทั้งสามส่วนนี้ และ ไม่เข้าใจในภาษาบาลี จึงเป็นที่มาให้เกิดความเข้าใจผิด เกิดความสงสัย แก่มวลมหาชนคนไทย ที่เกี่ยวข้องกับ พุทธพจน์ และ ภาษาบาลี 
อีกประเด็นหนึ่ง การเรียนคำสอนในพระพุทธศาสนานั้น ก็เปรียบเสมือนการเรียนเทคโนโลยี หรือ คอมพิวเตอร์ ที่ถูกคิดค้นโดยชาวตะวันตก ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษ ถ้าเราไม่รู้ ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ก็จะเป็นการยากแก่การเรียนรู้ 
ในทางกลับกัน ตำราคอมพิวเตอร์ 1 เล่ม ถามว่ามีคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ทุกคำหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่ ดังนั้น ในพระสุตตันตปิฎก ก็มีโอกาศที่ไม่มีทุกคำที่ใช้กันอยู่ ในแคว้นมคธ ทุกคำที่ใช้กันอยู่ในสมัยพุทธกาล จากตรงนี้ใคร่ขอยกพระพุทธพจน์ประโยคหนึ่ง
 ปุพฺเพ  จาหํ  ภิกฺขเว  เอตรหิ จ ทุกฺขญฺเจว ปญฺญาเปมิ  ทุกฺขสฺส  จ  นิโรธํ
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลก่อนก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี เราบัญญัติสอน เฉพาะเรื่องความทุกข์ กับเรื่องความดับทุกข์เท่านั้น"
นั่นหมายถึง คำสอนที่พระพุทธองค์ พระองค์ทรงเลือกเพียงเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น ในขณะที่ พระสุตตันตปิฎกของไทย จัดทำเป็นรูปเล่มแยกเป็นหมวดหมู่ไว้มีถึง 45 เล่ม ประเทศพม่า จัดไว้อยู่ใน 40 เล่ม ในแต่ละเล่ม ไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือพม่านั้น มีจำนวนหน้ามากกว่า 300 หน้า ในภาษาบาลี มีศัพท์บาลี ที่ไม่ซ้ำกันมากกว่า 17x,xxx (หนึ่งแสน เจ็ดหมื่น) คำ
การแปล เป็นภาษาไทยนั้น มีคำทับศัพท์ ภาษาบาลี มากกว่า 30% โดยประมาณ โดยการแปลเป็นภาษาไทยนั้น เดิม อิงการแปลความหมายโดยอรรถ และ พยัญชนะ มาจากอรรถกถา และ ฎีกา ภาษาบาลี แทบทั้งสิ้น ดังนั้น การอ่านพระไตรปิฎก ภาษาไทยนั้น ย่อมยากที่จะได้ความหมายที่ลึกซึ้ง ถ้าไม่เรียนภาษาบาลี
นี่ยังไม่รวม การพิมพ์ผิด พิมพ์ตกหล่น และ ส่วนที่เป็นสำนวนที่ผ่านยุคสมัยของกาลเวลา ที่ทำให้ความเข้าใจของผู้คน ไม่ครบถ้วน เช่น คนไทยในปัจจุบัน นั้นถ้าพูดถึงกรรม ก็มักจะพูดถึงว่า ทำกรรมอะไรไว้หนอจึงเป็นทุกข์ บ่นพรรณณากันเข้าไปจนยากที่จะสลัดทุกข์ออกจากใจ โดยลืมไปว่า เราเองสร้างกรรมดีไว้มากมาย และ มีกรรมดีอะไรบ้างที่จะช่วยผ่อนปรนทุกข์ให้เบาบางลงได้บ้าง
ดิกบาลีคอมพิวเตอร์ นี้ ใช้วิธีการด้านฐานข้อมูล เพื่อดึงคำศัพท์พระบาลี จากพระสุตตันตปิฎกทุกคำ และ ดึงคำแปลบางส่วนจากฉบับดิจิตอลบางส่วนที่มีอยู่มาบ้าง ซึ่งการระบุคำแปลแบบเดิมนั้น ได้แต่ความหมายที่ไม่ได้ระบุไวยากรณ์ ไว้ด้วยดังนั้นโปรแกรมนี้จึง จัดทำคำแปลให้บอกถึงไวยากรณ์ และ วิธีการใช้ไปด้วย พร้อม มีส่วนให้สามารถบันทึก อุทาหรณ์ หรือ ประโยคตัวอย่าง หรือ อาจใช้บันทึกคำที่มีความคล้ายคลึงกัน ในกรณีที่ยังไม่ได้บันทึกคำแปลของคำนั้นๆ พร้อมทั้งมีส่วน เรียนรู้จากประโยคตัวอย่าง ของท่านอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญ ศิษย์วัดท่ามะโอ อ.เมือง จ.ลำปาง คำแปล ส่วนหนึ่งพร้อมประโยคตัวอย่างได้ทำเพิ่มไว้ให้แล้วส่วนหนึ่ง และ ที่เหลือ สำหรับผู้นำไปใช้ได้นำไปกรอกเพิ่มเองได้ในขณะเรียนรู้ หรือ อ่านหนังสือ
คำถาม ทำไม ไม่กรอกคำแปลให้หมดเลย ไหนๆ ก็ทำให้คนใช้แล้ว คำตอบคือ ถ้าจะให้ผู้จัดทำใช้คอมพิวเตอร์ทำอัตโนมัติให้ทั้งหมด คือ ง่ายมากๆ เพียงเขียนโปรแกรมแล้วกดปุ่มเดียว ทำตัวรูปให้หมดแล้วยัดความหมายเข้าไป แต่ปัญหาคือ ผู้ใช้จะได้ฝึกหรือ เพราะการที่จะทำให้นำไปใช้ได้ ต้องจำได้ไม่ว่าจากการ ท่อง อ่าน เขียน ดังนั้น การเขียนหรือพิมพ์บ่อยๆ มากๆ ก็จะทำให้ลดการท่องจำ แต่ในขณะทำตัวรูปด้วยคอมพิวเตอร์ก็จะเพิ่มการสังเกต รูปสำเร็จไปในตัวทำให้จำศัพท์ ได้มากขึ้น 
ดังนั้น ทางผู้จัดทำจึงหาวิธีการทำตัวรูป ด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ผู้ใช้พิมพ์น้อยที่สุด ลดการผิดพลาดในการกรอกข้อมูลลง โปรแกรม บาลีดิก ThaiNewGenDict ซึ่งผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า และ ค่อนข้างมั่นใจว่าการเรียนรู้ด้วยโปรแกรม ดิกบาลี ThaiNewGenDict พร้อมการทำตัวรูปด้วยคอมพิวเตอร์นี้ จะทำให้ผู้เรียนภาษาบาลีจะเรียนรู้ภาษาบาลีได้อย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน
สำหรับ การทำตัวรูปด้วยคอมพิวเตอร์ นั้น การเรียนรู้ที่ง่ายที่สุด ผู้จัดทำใช้โปรแกรมฟรี ชื่อ Libreoffice calsheet ทั้งนี้เราคำนึงถึงเรื่องลิขสิทธิ์ และ ใช้งบประมาณน้อยเป็นตัวตั้ง สำหรับ สำนักเรียน หรือ กลุ่มนักศึกษาใด ต้องการเรียนรู้วิธีนี้ สามารถติดต่อผ่านวัดท่ามะโอ อ.เมือง จ.ลำปาง หรือ ช่อง Youtube ของผู้จัดทำได้ เพื่อสามารถ ให้แนะนำการใช้งาน ทั้งสองส่วนได้ ทางออนไลน์ ฟรี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
บาลีไม่มีทางที่ลัดมากกว่านี้อีกแล้วครับ
นอกจากนี้ โปรแกรมบาลีดิก นี้ยังสามารถค้นคำไปมาได้ ระหว่าง บาลี เป็น ไทย หรือ ไทย เป็น บาลี โดยสามารถใช้ Key อักษรปกติทั้ง 100% ทุกคำ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่เร็วขึ้น และ เหมาะสมกับการค้นคว้า สำหรับผู้เรียนบาลี



วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ชื่อเดือนภาษาบาลี

 ชื่อเดือนภาษาบาลี

ชื่อเดือนภาษาบาลี ชื่อเดือนไทย แบบพุทธเดิม
ผัคคุณะ                    
จิตตะ                        
เวสาขะ วิสาขะ         
เชฏฐะ                      
อาสาฬหะ
สาวณะ                    
โปฏฐปาทะ, ภัททา ๑๐
อัสสยุชะ                  ๑๑
กัตติกา                    ๑๒
มาคสิระ, มิคสิระ
ผุสสะ                      
มาฆะ                      












วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2566

อานิสงส์ อานาปานสติ

 อานิสงส์ อานาปานสติ

พระไตรปิฎก พระไตรปิฏก (บาลี-บาลีสยามรัฐ) เล่มที่ 31

พระสุตตันปิฎก ขุททกนิกาย เล่ม ๓๑ ปฏิสัมภิทามรรค

อานาปานสฺสติ ยสฺส        ปริปุณฺณา สุภาวิตา
อนุปุพฺพํ ปริจิตา           ยถา พุทฺเธน เทสิตา
โส อิมํ โลกํ ปภาเสติ   อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมาติ ฯ

ภิกษุใด เจริญอานาปานสติให้บริบูรณ์ดีแล้ว อบรมแล้ว
ตามลำดับ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ภิกษุนั้นย่อม
ทำโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอก
ฉะนั้น ฯ

วีดีโอ ภาพ เสียง โดย ท่านอาจารย์ บุญถนอม นพโสภณ วัดท่ามะโอ จ.ลำปาง



วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2566

อาราธนาธรรมที่ถูกต้อง บาลี พร้อม คำแปล

 อาราธนาธรรม คือ

คาถาขออาราธนาธรรม หลวงปู่ วัดท่ามะโอ นี้ใช้ก่อน อัญเชิญ ภิกษุ เทศนาธรรม

อาราธนาธรรมที่ถูกต้อง นี้ ประพันธ์ พระบาลี โดย หลวงปู่ หลวงปู่ธัมมานันทะ มหาเถระ แห่งวัดท่ามะโอ
มีการปรับปรุง จากบทที่ใช้อยู่ ในปัจจุบัน เพราะ ไม่ใช่ยุคพระพุทธเจ้า เป็นบุคคลธรรมดา อัญเชิญ ภิกษุ เพื่อแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า จึงได้ พระบาลี คาถานี้ออกมา

อาราธนาธรรม คําอ่าน

กาโล ภนฺเต มุนินฺทสฺส โสตุมิจฺฉาม เทสนํ
อนุกมฺปมุปาทาย              เทเสตุ ธมฺมเทสนํ

อาราธนาธรรม คำแปล

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถึงเวลาฟังธรรมแล้ว
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ปรารถนาเพื่อฟังพระธรรม
ขอท่าน อาศัยความอนุเคราะห์
โปรดแสดงธรรม แก่ปวงข้าพเจ้าด้วยเทอญ





วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

ธรรม จากโบราณสถาน เมืองโบราณ ศรีเทพ กับ คาถายอดนิยมในอดีต

 ธรรม เกิดแต่เหตุ คาถายอดนิยมในอดีต

เมืองโบราณ ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เดิมมีชื่อว่า "เมืองอภัยสาลี" 
ถูกค้นพบเมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปตรวจราชการมณฑลเพชรบูรณ์
และได้ทรงเรียกเมืองนี้เสียใหม่ว่า "เมืองศรีเทพ" เมื่อ พ.ศ. 2447-2448
เป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่ สมัย พุทธศตวรรษที่ 8 ถึง 18 (พศ.8xx-18xx)

โดยในเมืองโบราณ แห่งนี้ได้พบ หินศิลาบางส่วน เป็นอักษร คาดว่าเป็น อินเดีย โบราณ มีข้อความว่า
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา       เตสํ เหตุํ ตถาคโต (อาห)
 เตสญฺจ โย นิโรโธ         เอวํวาที มหาสมโณ

จากการสืบค้น ธรรมบทนี้ มีระบุใน พระไตรปิฎก โดยมีรายละเอียดดังนี้

พระไตรปิฏก (บาลี-บาลีสยามรัฐ) เล่มที่ 04
พระวินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวรรค ภาค ๑ มี ๔ ขันธกะ
ว่าด้วยการอุปสมบท (เริ่มเรื่องตั้งแต่ตรัสรู้และประดิษฐานพระศาสนา) อุโบสถ จำพรรษา และปวารณา

อถโข   อายสฺมา   อสฺสชิ   สารีปุตฺตสฺส   ปริพฺพาชกสฺส
อิมํ ธมฺมปริยายํ อภาสิ 
** เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา       เตสํ เหตุํ ตถาคโต (อาห)
 เตสญฺจ โย นิโรโธ         เอวํวาที มหาสมโณติ ฯ **

ลำดับนั้น ท่านพระอัสสชิ ได้กล่าวธรรมปริยายนี้แก่สารีบุตรปริพาชก ว่าดังนี้:-
**ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรม
เหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติ
ทรงสั่งสอนอย่างนี้.**
สารีบุตรปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรม




เครดิตภาพ Thai PBS


วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2566

จิตคืออะไร

 จิตคืออะไร

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ไทย-บาลีสยามรัฐ) เล่มที่ 29

พระสุตตันปิฎก ขุททกนิกาย เล่ม ๒๙ มหานิทเทส

ภาษิตของพระสารีบุตรอธิบายขยายความพระสูตร ๑๖ สูตร ในอัฏฐกวรรคแห่งสุตตนิบาต 

[๗๐๖] 

คำว่า อย่างใดอย่างหนึ่ง ในคำว่า ตัณหาอย่างใดอย่างหนึ่งที่มี ณ ภายใน
ความว่า ทั้งปวงโดยกำหนดโดยทั้งปวง ทั้งปวงโดยประการทั้งปวง หาส่วนเหลือมิได้ ไม่มีส่วน
เหลือ. คำว่า อย่างใดอย่างหนึ่ง นี้เป็นเครื่องกล่าวรวมหมด. คำว่า ตัณหา คือ รูปตัณหา ฯลฯ
ธรรมตัณหา. คำว่า ที่มี ณ ภายใน คือ ตัณหานั้นตั้งขึ้นภายใน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มี
ณ ภายใน. อีกอย่างหนึ่ง 
..
จิต เรียกว่า ภายใน ได้แก่ จิต มนะ มานัส หทัย ปัณฑระ มนะ
มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุอันเกิดแต่วิญญาณขันธ์นั้น.
ตัณหานั้น สหรคต เกิดร่วม เกี่ยวข้อง สัมปยุต มีความเกิดร่วมกัน มีความดับร่วมกัน
มีวัตถุเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกันกับด้วยจิตคือใจ แม้เพราะฉะนี้ จึงชื่อว่า ที่มี ณ ภายใน
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ตัณหาอย่างใดอย่างหนึ่งที่มี ณ ภายใน.

บาลีสยามรัฐ

[๗๐๖]   ยากาจิ   ตณฺหา   อชฺฌตฺตนฺติ  ยากาจีติ  สพฺเพน  สพฺพํ
สพฺพถา   สพฺพํ   อเสสํ   นิสฺเสสํ   ปริยาทายวจนเมตํ   ยากาจีติ   ฯ
ตณฺหาติ    รูปตณฺหา    ฯเปฯ   ธมฺมตณฺหา   ฯ   อชฺฌตฺตนฺติ   อชฺฌตฺตํ
สมุฏฺฐาติ   ๑   สา   ตณฺหาติ   อชฺฌตฺตํ  ฯ  อถวา  อชฺฌตฺติกํ  วุจฺจติ
จิตฺตํ    ยํ   จิตฺตํ   มโน   มานสํ   หทยํ   ปณฺฑรํ   มโน   มนายตนํ
มนินฺทฺริยํ    วิญฺญาณํ    วิญฺญาณกฺขนฺโธ    ตชฺชา   มโนวิญฺญาณธาตุ   ฯ
จิตฺเตน   มนสา   สา   ตณฺหา  สหคตา  สหชาตา  สํสฏฺฐา  สมฺปยุตฺตา
เอกุปฺปาทา    เอกนิโรธา   เอกวตฺถุกา   เอการมฺมณาติปิ   อชฺฌตฺตนฺติ
ยากาจิ ตณฺหา อชฺฌตฺตํ ฯ

เครดิตภาพ sanook.com



วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ภาษาบาลี ร่างกายมนุษย์ ประกอบไปด้วย อวัยวะ 32 (31+1) อย่าง บ้างก็เรียก อาการ 32 กรรมฐาน 32 กอง

 ภาษาบาลี ร่างกายมนุษย์ ประกอบไปด้วย อวัยวะ 32 อย่าง

ภาษาบาลี ร่างกายมนุษย์ ประกอบไปด้วย อวัยวะ 32 ประการ เดิมที มี 31 
คำว่า มตฺถลุงฺคํ เดิมทีนั้นในพุทธสุภาษิตไม่มี เพราะพระพุทธองค์ทรงรวบรวมคำว่า มตฺถลุงฺคํ เยื่อในสมองไว้ในคำว่า อฏฺฐิมิญฺชํ คือ เยื่อในกระดูกแล้ว
ในเวลามีการจัดหมวดหมู่ เป็น 5 กลุ่ม เพื่อให้ท่องได้ง่าย ดังนี้
เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ,
มํสํ นหารู อฏฺฐิ อฏฺฐิมิญฺชํ วกฺกํ,
หทยํ ยกนํ กิโลมกํ ปิหกํ ปปฺผาสํ, 
อนฺตํ อนฺตคุณํ อุทริยํ กรีสํ มตฺถลุงฺคํ, 
ปิตฺตํ เสมฺหํ ปุพฺโพ โลหิตํ เสโท เมโท, 
อสฺสุ วสา เขโฬ สิงฺฆาณิกา ลสิกา มุตฺตนฺติ

แปลความว่า ในร่างกายเรานี้มีส่วนต่างๆ อยู่ คือ

            ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง 
เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม 
หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด 
ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง
น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง เลือด น้ำเหงื่อ น้ำมันข้น
น้ำตา น้ำมันเหลว น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำมูตร