วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สัคคกถา

ในสัคคกถา พระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดง โดยอเนกปริยายมิใช่อันเดียว จะยกมาแสดงไว้ในที่นี้แต่พอสังเขปได้ใจความ คำที่ว่า สัคโค แปลว่า สวรรค์, แปลว่าสวรรค์อีกที่หนึ่ง ว่าโลกมีอารมณ์อันเลิศ หรือโลกเลิศด้วยอารมณ์ ได้ความตามที่มาว่า รุกขเทวดา ภุมมเทวดา อากาศเทวดา จาตุมหาราชิกาเทวดา ถึงชั้นปรนิมมิตวัสสวดีเหล่านี้ชื่อว่าสวรรค์ถึงชั้นพรหมก็ชื่อว่า สวรรค์ เพราะมีอารมณ์อันเลิศ ตามที่มาว่า เทวนิกายทั้งหลายเหล่านั้นแต่ละองค์ ๆ ทรงรูปโฉมอันผึ่งผายเพริดเพราพรายแสงแวววับ ทรงเครื่องประดับสร้อยสังวาลย์ มีทิพย์พิมานสำราญอาสน์ทองเงินนาคส่งฉายา มีนางเทพธิดาพันหมื่นแสน นั่งเฝ้าแหนคอยบำเรอ ให้ท้าวเธอเทวราช อยู่บนอาสน์ลุ่มหลงกาม ประพฤติตามต้องอัธยาศัย ทิพยโภคัย โภชนาหาร ล้วนตระการโอชารส ไม่ต้องอด ไม่ต้องหิว ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องหา ไม่ต้องทำนา ไม่ต้องทำสวน ล้วนของทิพย์เกิดด้วยบุญ เพราะต้นทุนคือทาน ศีล ภาวนา ที่ตนทำด้วยศรัทธา เกิดเป็นเทวาน่าพิศวง ทั้งอายุเล่าก็ยืนหมื่นพันปี ของเทวโลกกล่าวแต่พอสังเขปจะพรรณนาทิพยสมบัติ โสตไม่พอฟัง น่าเพลิดเพลินจริง ๆ อย่าว่าแต่เทวโลกเลย แต่สุขสมบัติในมนุษย์โลกยังไม่อาจที่จะพรรณนาให้ทั่วถึงได้สำเร็จด้วยบุญญา ภินิหาร ดังบรมราชาเสวกามาตย์เศรษฐีคฤหบดีในสกลโลกทุกวันนี้ ก็ย่อมมีอารมณ์อันเลิศ คือ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส สารพัดล้วนอุดม ตึก ร้าน บ้าน เรือน โรง ดูระหงดัง วิมาน ไฟฟ้า ไฟสวรรค์ใช้ส่องแสงโบกพัดวีไปมาตามวิถีรถม้าเทศอัดแจ มอเตอร์คาเดินด้วยไอได้ดังใจสมประสงค์ กัลยาอนงค์นวลขึ้นเทียมคู่บนรถา รถเจ๊กและรถไอทั้งรถไฟทั่วทิศา ชลมารคล้วนนาวา ใช้ไฟฟ้าไฟถ่านฟืน กลางวันและกลางคืน ดูครึกครื้นทั่วนครา แก้วแหวนและเงินตรานับไป่ถ้วนควรปรีดิ์เปรม สมบัติมนุสสา ฉกามาทำไมกัน เพลิดเพลินทุกคืนวัน มฤตยุราชที่ไหนมี.

ถ้าจะเล็งรูปศัพท์เป็นประมาณ มนุษย์สมบัติก็ควรกล่าวว่า สัคโค หรือ สวรรค์ได้ ไม่ต้องมีความสงสัยความเป็นจริง มนุษย์สมบัติดังที่พรรณนามานี้ ก็ย่อมสำเร็จด้วยบุญญานุภาพ คือ ทาน ศีล ภาวนา ที่ตนสร้างสมมา ด้วยอำนาจศรัทธาแต่บรรพชาติเป็นเที่ยงแท้.

ถ้าผู้ใดต้องการความสุขในมนุษย์โลกและเทวโลก ไม่ควรประมาทในทาน ศีล ภาวนา เมื่อยังไม่ถึงพระนิพพานจะได้เป็นที่อาศัยเป็นสุขไปทุกชาติ ๆ

เนกขัมมานิสงสกถา

ในเนกขัมมานิสงส์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงประกาศโดยปริยายเป็นอันมากควรฟังควรตรอง แต่จะยกมาแสดงในที่นี้พอได้ใจความโดยสังเขป ดังพระองค์ทรงสอนเบญจวัคคีย์ว่า เทวฺ เม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา แน่ะ ผู้เห็นภัยในวัฏฏะบรรพชิตไม่พึงเสพสภาวธรรมมีเงื่อนไข ๒ คือ กามสุขัลลิกานุโยค ตั้งความเพียรทำตนให้ติดเนื่องอยู่ด้วยกามสุข ๑ คือ อัตตกิลมถานุโยค ตั้งความเพียรทำตนให้ลำบากเหน็ดเหนื่อยเปล่า ๑.

ธรรมชาติทั้ง ๒ นี้ ฮีโน เลว ของเลวทราม คมฺโม เป็นของชาวบ้าน โปถุชฺชนิโก เป็นของแห่งปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส อนริโย ใช่ของแห่งพระอริยะ อนตฺถสญฺหิโต เป็นธรรมหาประโยชน์มิได้คุมอยู่ด้วย.
แล้วทรงแสดงมัชฌิมาทางกลาง คือ อัษฏางคิกมรรค มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น ว่าเป็นมรรคาไม่แวะเวียนเกาะเกี่ยวด้วยลามกธรรมมีเงื่อน ๒ นั้นดังนี้

ได้ใจความว่าพระอัฏฐังคิกมรรค ควรนับว่าเนกขัมมธรรมเป็นคุณเครื่องออกจากกามแท้ส่วน ๑ เพราะวิธีออกจากกามมีประเภทเป็น ๒ คือ ออกด้วยกายอย่าง ๑ ออกด้วยใจอย่าง ๑ ออกด้วยกายนั้น คือถือเพศบรรพชาเป็นอย่างประเสริฐ เพราะบรรพชาเพศเป็นวิเวกห่างไกลต่ออารมณ์ เครื่องเย้ายวนจิต. ความเป็นจริง ผู้ตั้งใจจะงดเว้นหลีกเลี่ยงกามสุขเมถุนวิรัติ จะถือเพศนุ่มดำห่มดำ แดง เขียว ขาว เหลือง ใส่เสื้อใส่กางเกง หนวด ผม ยาว สั้น ไม่ต้องนิยม ชื่อว่าบรรพชิตทั้งสิ้น ในผู้ถือเพศบรรพชิตปฏิญาณตนว่าเป็นบรรพชิตเหล่านั้น พวกใดยังประกอบกิจเกื้อกูลแก่เรือนเนื่องด้วยบุตรภรรยาอยู่ ไม่ควรนับว่าบรรชิตเลย เพราะไม่มีเนกขัมมคุณเครื่องออกจากกาม ความที่ได้กายวิเวกนั้นเอง เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่จิตตวิเวก คือผู้เป็นบรรพชิต พรากกายจากกามารมณ์ได้แล้ว ต้องตรวจตรองให้เกิดศรัทธาวิริยะ ทำสติสมาธิปัญญาให้เกิด ถ้าสติสมาธิตั้งได้แล้ว จิตมีอารมณ์เป็นที่ตั้งแล้ว จิตย่อมพรากจากกามวิตกพยาบาทวิตก วิหึสาวิตก นับว่าเป็นสัมมาวิตักโก เป็นเนกขัมมคุณเครื่องออกจากกามด้วยใจ ได้ใจความว่าการประพฤติพรต เมถุนวิรัติได้แล้วเป็นเนกขัมมคุณออกจากกามด้วย กาย ทำให้เกิดสมาธิจิต ห้ามกามวิตกได้เป็นเนกขัมมคุณออก จากกามด้วยใจ ผู้ออกจากกามได้ในชั้นนี้ ไม่ถึงสมุจเฉทวิรัติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ย่อมได้รับผล คือความสุขกายและจิต เพราะมิได้ประกอบกิจเกื้อกูลผู้อื่นด้วยการแสวงหาเลี้ยงชีพ และเป็นโอกาสอันปลอดโปร่ง ไม่มีการขัดข้อง ในกิจที่จะเจริญสมถะวิปัสสนา เพื่อสำเร็จศีลและฌาน เปิดโอกาสทางมาแห่งวิชชาวิมุติ อันเป็นที่สุดแห่งเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์ เพราะปราศจากเวรภัย เสร็จกิจตามอุปนิสัยของผู้ประพฤติพรต เป็นอานิสงส์แห่งเนกขัมมคุณอย่างยิ่ง ดังนี้แล

กามาทีนวกถา

ในกามาทีนวกถา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง โดยปริยาย มิใช่อันเดียว จะยกมาแสดงในที่นี้แต่สังเขปพอได้ใจความ กามแปลว่า ความใคร่ความติดใจ ท่านแบ่งเป็น ๒ คือ กิเลสกามอย่าง ๑ วัตถุกามอย่าง ๑ ความกำหนัดรักใคร่ ยินร้าย ยินดี โลภ โกรธ หลง เป็นต้น เป็นลักษณะของกิเลส รูป รส เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส สวิญญาณกทรัพย์ อวิญญาณทรัพย์ เป็นลักษณะของวัตถุ.

ถ้าจะย่นลงคงเป็นหนึ่ง เพราะวัตถุก็เป็นที่ตั้งของกิเลส ถ้าไม่มีวัตถุเป็นที่ตั้ง กิเลสก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ ตกลงวัตถุ ๑ กาม ๑ กิเลส ๑ ประชุมกันเข้าเป็นกามกิเลส ย่นกามกิเลสลงเป็นหนึ่ง คงเหลืออยู่แต่กาม ถ้ากล่าวว่ากามคำเดียวเท่านั้น ผู้ฟังต้องเข้าใจว่า ได้กล่าวพร้อมทั้ง ๓ ประการ บรรดากามทั้งหลายจะเป็นของมนุษย์ หรือเป็นของทิพย์ก็ตาม ความเป็นจริงย่อมมีความยินดีน้อย ประกอบด้วยโทษทุกข์ภัยความคับแค้นมากลำบากในสามกาล คือการแสวงหา ๑ การบริหารรักษา ๑ การวิโยคพลัดพราก ๑. ความเป็นจริงของสัตวโลกที่ได้รับโทษทุกข์ภัยความคับแค้นต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปอยู่ทุกวันนี้ ย่อมมีกามเป็นต้นเหตุ ผู้ที่ติดคุกติดตารางจองโซ่จำตรวนซึ่ง เป็นไปอยู่ทุกวันนี้ ก็มีกามนั้นเองเป็นต้นเหตุ ผู้ที่เป็นคดีร้องฟ้องต้องฏีกาตามโรงศาลตามชั้นตามภูมิ เป็นต้นว่า พระราชาต่อพระราชายกพยุหยาตราเข้าประชิดชิงชัยซึ่งกันและกัน หรือพ่อค้า เศรษฐี กุฎมพี แพศย์ ศูทร เป็นต้น จะเกิดวิวาทขึ้นเจ้า ขึ้นข้า ท้าทายจับท่อนไม้ก้อนดิน ประหัตประหารซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ย่อมมีกามเป็นต้นเหตุ ธรรมชาติของกามมีความยินดีน้อย มีโทษทุกข์ภัยมาก ลำบากแก่ผู้ปกครอง กามทั้งหลายท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนหลุมถ่านเพลิง อาจที่จะทำบุคคลผู้ตกลงไปให้ถึงความตายหรือได้รับทุกข์แทบประดาตาย อีกอย่างหนึ่ง ท่านเปรียบไว้เหมือนก้อนมังสะ ถ้าสัตว์ตัวใดคาบไว้ ย่อมได้รับสับตอดขบกัดแต่หมู่ของตน อีกอย่างหนึ่งท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนคบเพลิง ถ้าผู้ใดถือไว้ไม่ว่าง เมื่อต้องลม ย่อมจะคุล่วงเผาผลาญร่างกายให้ได้ความลำบาก อีกอย่างหนึ่ง ท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนผลไม้ เมื่อมีขึ้นในต้นใด ย่อมทำให้กิ่งก้านสาขาให้ยับเยินป่นปี้ เกิดแต่ผู้ต้องการผล อีกอย่างหนึ่งท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนคบดาบและคมหลาว ผู้ใดเผลอไม่ระวังไปกระทบเข้า ย่อมจะได้รับความเจ็บปวดทุกขเวทนา อีกอย่างหนึ่ง ท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนศีรษะงูอสรพิษ ผู้ไม่พินิจไปเหยียบเข้า ย่อมจะได้รับทุกข์เกิดแต่พิษถึงแก่ตายหรือแทบประดาตาย อีกอย่างหนึ่ง ท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนเขียงสับเนื้อเข้า เขาต้องการสับแต่เนื้อ โดนเขียงกร่อนลงทุกที อีกอย่างหนึ่ง กามทั้งหลายท่านเปรียบไว้ดังของยืมท่านมาใช้ เสร็จกิจแล้วต้องส่งเจ้าของไป อีกอย่างหนึ่ง ท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนของฝันเห็น ตื่นแล้วก็สูญไปเท่านั้นอาศัยส่วนเปรียบของกามตามที่ท่านกล่าวไว้นั้น ได้ใจความว่ามีความสุขความยินดีน้อย ประกอบด้วยโทษทุกข์ภัยความคับแค้นมาก เพราะเหตุนั้น นักปราชญ์ในโลกก่อนพุทธกาลหรือครั้งพุทธกาล หรือในทุกวันนี้ก็มักเห็นโทษของกาม จึงพากันบรรพชา ประพฤติพรตเว้นกามาฆรสถานเป็นฤาษีปริพาชกนับไม่ถ้วน หวังเพื่อจะหนีกามเป็นต้นเหตุ ถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็เห็นโทษของกามจึงได้ออกภิเนกษกรมณ์ ทรงผนวช ครั้นพระองค์ได้ตรัสรู้อมตธรรมของจริงแล้ว ก็ยกโทษของกามขึ้นแสดงว่าเป็นของผิด ดังแสดงกามสุขัลลิกานุโยค ในเบื้องต้นแห่งธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นตัวอย่าง พอเป็นทางให้เราทั้งหลาย ตรองตามว่ากามทั้งหลายเป็นของมีโทษจริงด้วย เมื่อเห็นโทษขอมกาม ซึ่งเป็นส่วนของมนุษย์ ประกอบด้วยโทษอย่างนี้ ๆ แม้ถึงกามารมณ์ซึ่งเป็นของทิพย์ของสวรรค์ ก็คงมีโทษมากคุณน้อยเหมือนกัน เพราะไม่พ้นลักษณะทั้ง ๓ คือ เกิดขึ้นตั้งอยู่แปรไปเป็นธรรมดา ถึงจะเป็นเทวดา อินทร์ พรหมก็ยังตกอยู่ในระหว่างไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่เที่ยง แล้วจะไปหมายเอา ความ สุขมาแต่ที่ไหนหรือจะเห็นว่า อายุยืนมีความสุข ในข้อนี้ตรองดูให้ดี อายุยืนอายุสั้นก็เท่ากัน เพราะความสุขความทุกข์มีจำเพาะปัจจุบันเท่านั้น ถึงจะมีอายุยืนเท่าไร สุขทุกข์ที่เป็นอดีตแต่เช้า วันนี้ถอยหลังคืนไปจนถึงวันเกิด จะเอามาเป็นสุขเป็นทุกข์ในกลางวันวันนี้ก็ไม่ได้ ความสุขความทุกข์ที่เป็นส่วนอนาคตยังไม่มาถึง นับแต่เย็นวันนี้ไปจนถึงวันตาย จะเอามาใช้เป็นสุขเป็นทุกข์ในกลางวันวันนี้ก็เป็นอันไม่ได้ จำเพาะใช้ได้แต่สุขทุกข์ซึ่งเป็นส่วนปัจจุบันอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าใช้แต่สุขและทุกข์ส่วนปัจจุบันเท่านั้น ถึงอายุยืนอายุสั้นก็เท่ากัน มีปัจจุบันด้วยกัน.

ถ้าตรึกตรองให้เห็นโทษและคุณ ปรากฏขึ้นด้วยตนเช่นนี้ ก็คงจะมีความเบื่อหน่ายในกามรมณ์ เพราะเห็นความไม่เที่ยงแปรไป เป็นทุกข์เป็นอนัตตาทั่วไป คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นกองรูปภายในก็ไม่เที่ยง รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เป็นกองรูปภายนอกคู่กับรูปภายในก็ไม่เที่ยง ใจเป็นนามธรรม ภายในก็ไม่เที่ยง ธรรมมารมณ์เป็นนามธรรมภายนอก คู่กับนามธรรมภายในไม่เที่ยง เมื่อสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นของไม่เที่ยงบีบคั้นอยู่ จะสุขจะทุกข์อย่างไรก็ดี จะควรเลื่อมใสยินดีด้วยเรื่องอะไร รูปนามนั้นเองเป็นชาติกาม ก็รูปนามเป็นของไม่เที่ยงอยู่โดยธรรมดา กามทั้งหลายถึงจะเป็นของทิพย์ของสวรรค์ ชื่อว่าเป็นของไม่เที่ยงทั้งสิ้น ใช่จะไม่เที่ยงอย่างเดียวเมื่อไร ยังมีเพลิงเผาอยู่ด้วย คือ ราคะ โทสะ โมหะ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส แต่ละอย่าง ๆ ท่านกล่าวว่า เป็นเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์ บีบคั้นอยู่ทุกเมื่อด้วย คิดดูให้ดีน่าสมเพชเวทนานี้หนักหนา

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คำสอน หลวงพ่อ ทองคำ แห่งสำนักปฏิบัติธรรม สันกู่ อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ เรื่อง กาย จิต และ ความว่าง

คำสอน หลวงพ่อ ทองคำ แห่งสำนักปฏิบัติธรรม สันกู่ อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ เรื่อง กาย จิต และ ความว่าง
ศิษย์: จิต ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าง แบบที่ไร้ซึ่งมลฑิล ใดๆ จึงเป็นที่มาของการรับรู้ จิตใจ ผู้คน โลก และ สรรพสัตว์ แต่ ก็อดสงสัยไม่ได้ ในเมื่อ เวทนา ของ ร่างกายสังขาลย์ มันเกิดขึ้นเอง ไม่สามารถห้ามได้ แล้ว พระพุทธเจ้า ทรงทำอย่างไร
หลวงพ่อ: จับตัวรู้ รู้ ด้วยปัญญา รู้ที่เหตุ แล้ววาง ทำเรื่อยๆ บ่อยๆ การเกิด ดับ ในทุกๆครั้ง ก็จะเหมือนๆกัน

คำสอน หลวงพ่อ ทองคำ แห่งสำนักปฏิบัติธรรม สันกู่ อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ เรื่อง สภาวะจิตที่วาระสุดท้าย

คำถามโดยศิษย์: มีหลายคน บอกว่า เราจะไปไหนต่อ หลังจากความตายอยู่ที่จิต ขณะสุดท้ายด้วย ใช่ไหม รวมถึงการดับสูญชั่วนิรันดร
หลวงพ่อ: ใช่ เป็นส่วนที่สำคัญมาก แต่ขึ้นอยู่กับกรรมด้วยนะ
ศิษย์: วาระสุดท้ายของคน ดูๆ ไปก็คล้ายๆ การนอนหลับ การนอนหลับ ก็เหมือนเราตายชั่วขณะ หรือ จิด พักผ่อน ไม่รับรู้ อะไรทั้งสิ้น อย่างนี้นี่เอง สงสัยมาต้องนาน ว่าทำไมจึงให้ฝึกตลอดเวลา แม้กระทั่งจะหลับ แต่ ศิษย์เอง ลงได้นอนที่ไรหลับทุกที กำหนดไป แล้วก็หลับ แล้วอย่างนี้ จะกำหนดไปทำไม กำหนดเพื่อดูอะไร ให้รู้อะไร
หลวงพ่อ: ก็ให้รู้ ว่า กาย กับ จิต มันดับคู่กัน อย่างไร เป็น เอกคัตตา ภาวะสุดท้ายก่อนหลับ เป็นอย่างไร แล้วตอนตื่น จิตรับรู้อะไรตื่นเพราะอะไร ฝึกให้พิจารณา ให้ทัน นี่แหละ เป็นเหตุที่ทำให้เราต้อง ซ้อมจิต ให้หนัก ให้รู้การเกิด ดับ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ทั้งนี้เพื่อที่จะได้กำหนดวาระสุดท้ายของเรานั่นเอง
ศิษย์: (ยากจัง)
หลวงพ่อ: (ถ้าง่ายเค้าก็บรรลุ กันหมด แล้วล่ะซิ หนู)

ตำแหน่งภูมิศาสตร์ ระหว่าง สำนักปฏิบัติธรรม สันกู่ และ วัดร้างพระเจ้าแสนแส้

ตำแหน่งภูมิศาสตร์ ที่สอดคล้องกันโดยบังเอิญ หรือ จงใจ ระหว่าง สำนักปฏิบัติธรรม สันกู่ และ วัดร้างพระเจ้าแสนแสร้
สำนักปฏิบัติธรรม บ้านสันกู่ พิกัด
18.895201
98.915924


วัดร้าง พระเจ้าแสนแส้ (พระเจ้าออกเหงื่อ) พิกัด
19.643907
98.622888


สิ่งที่คล้ายกันทางภูมิศาสตร์
1. ตั้งอยู่บนทำเลที่สูง
2. ห่างจากเส้นทาง(เดินทัพ) หลัก ระยะทางอากาศไม่เกิน 3 กม.
3. มีเส้นทาง แยก ไปทางฝั่งทิศตะวันออก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ด้านการสู้รบโบราณ
3.1. ใช้เพื่อหลบหนีชั่วคราว
3.2. ใช้เส้นทางดังกล่าว เพื่อ ตลบ ทัพ เพื่อโอบล้อมทางด้านหลังได้
3.3. เมืองที่ถูกเชื่อมด้วยเส้นทางดังกล่าว สามารถยกทัพมาช่วยได้โดยง่าย และ ทันท่วงที

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คำสอนหลวงพ่อทองคำ สำนักปฏิบัติธรรม บ้านสันกู่ เรื่อง กาย จิต รูป นาม

คำถาม: ทำไมคนจึงกลัว วิญญาณ หรือ ผี
หลวงพ่อ: เรารู้ได้อย่างไรว่าเรากลัว อะไรกลัว จิต หรือ กาย
ศิษย์ ญ. : จิต กลัว
หลวงพ่อ: มองเห็นไหม (วิญญาณ)
ศิษย์ : ไม่เห็น
หลวงพ่อ: ไม่เห็นแล้วรู้ได้ไงว่ามี (มือ)สัมผัสได้ไหม
ศิษย์: ไม่ได้
หลวงพ่อ: ตามองเห็นไหม
ศิษย์: ไม่เห็น
หลวงพ่อ: อ้าวทีนี้ ตามองไม่เห็น มือก็สัมผัสไม่ได้ แต่เรารู้ว่ามี ทีนี้ อะไรล่ะที่สัมผัส (วิญญาณ) ได้ อะไรเป็นตัวรู้
ศิษย์: จิต
หลวงพ่อ: นั่นไง จิตคือผู้รับรู้ใช่ไหม บางสิ่งต้องสัมผัสด้วยกาย และ รับรู้ได้ด้วยทางจิต บางสิ่งกายก็สัมผัสไม่ได้ แต่ สามารถรับรู้และสัมผัสทางจิต ก็เหมือนฝน ฝน (ตก)มาจากไหน
ศิษย์: ตกมาจากฟ้า
หลวงพ่อ: ตอนนี้ฝนไม่ตก มองเห็นฝนไหม
ศิษย์: ไม่เห็น
หลวงพ่อ: แล้วฝนมีอยู่จริงไหม
ศิษย์: มีอยู่จริง
หลวงพ่อ: ทีนี้เห็นหรือยัง ว่ารูป และ นามต่างกันอย่างไร กาย และ จิตทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ดังนั้น การที่เรารับรู้ด้วยจิต การกลัวก็เกิดขึ้นทางจิต ถ้าเรากลัวโดย ไม่เข้าไปพิจารณามัน เรา็ก็จะไม่รู้อย่างแ้ท้จริงว่าจิต กลัวอะไร แยกไม่ออก ดังนั้นจงเข้าไปพิจารณา ในจิตของเรา เมื่อเรารู้แน่ชัดว่าจิตกลัวอะไร จากการรับรู้นั้น เราก็จะแก้ไขปัญหาความกลัวนั้นได้ ป้องกันได้ทัน เพราะ จิตก็ได้ทำหน้าที่ของเขา ในการรับรู้และระวังภัยให้กับเจ้าของ หรือตัวเรานั่นเอง

สถานปฏิบัติธรรม บ้านสันกู่ ต. แม่แรม จ.เชียงใหม่



N18.895201, E98.9159241

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ธรรมะ หลวงพ่อ เปลี่ยน ปญญาทีโป วัดอรัญญวิเวก อ. แม่แตง จ.เชียงใหม่ เรื่อง สรุป ธรรมะ 3 ความพอดี

สรุป ธรรม รู้จักประมาณในการทำงาน
การทำงานเกินความพอดี ต่อกำลังของตน เป็นบ่อเกิดให้เกิดความทุกข์ขึ้น

สรุป ธรรม การบริหารทรัพย์สินในครอบครัว
การไม่พอดีในการบริหาร ทรัพย์สิน ของครอบครัวก็จะทำให้เกิดทุกข์

สรุป ธรรม ให้รู้จักความพอดีในการใช้ทรัพย์สินเงินทอง

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

หนึ่งใน วัดร้างพื้นที่สวรรคต สมเด็จพระนเรศวร มหาราช อ.เวียงแหง ประวัติพระพุทธรูป โบราณ วัดพระเจ้าแสนแส้ บ้านสันดวงดี

วัดร้าง ประวัติพระพุทธรูป โบราณ (พระเจ้าแสนแส้ หรือ พระเจ้าออกเหื่อ)

คำสอนจาก หลวงพ่อ ทองคำ สำนักปฏิบัติธรรม บ้านสันกู่ อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่เรื่อง การบรรลุ กับการเกิด

คำถาม: จากการสนทนาธรรมครั้งที่แล้ว เรื่อง อัฐิธาตุ เลยมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเรื่องการบรรลุ และ การเกิด คือ สงสัยว่าในเมื่อ ท่าน เกจิ อาจารย์ทั้งหลายได้บรรลุธรรมแล้ว สละ ละ แล้วซึ่งความเป็นตัวตน ร่างสลายกลายเป็นอัฐิธาตุแล้ว เราจะถือได้มั๊ยว่าท่าเหล่านั้น บรรลุถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิดอีกแล้วได้หรือไม่
คำตอบจาก พระ อาจารย์: ต้องแยกกัน ระหว่างการบรรลุ กับการเกิด
  • การบรรลุ เมื่อ ท่าน เกจิ อาจารย์ทั้งหลายได้บรรลุธรรมแล้ว สละ ละ แล้วซึ่งความเป็นตัวตน ร่างสลายกลายเป็นอัฐิธาตุ นั่นถือว่าเป็นการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดขั้นหนึ่ง แต่ถึงขั้นไหน บอกไม่ได้ เพราะตรงพระพุทธเจ้าบอกว่า ตนเท่านั้นที่รู้ หรือเรียกว่าเป็นปัจจักตัง
จะมาเกิดอีกหรือไม่ เราเคยเห็นเม็ดมะม่วงไหม
ศิษย์: ทำไมเหรอครับ
พระ อาจารย์: อะไรเป็นตัวที่ทำให้มันเกิดเป็นต้น
ศิษย์: เม็ด
พระ อาจารย์: เม็ด แล้วพอมันเริ่มงอก มันมีเปลือกมั๊ย มันสลายมั๊ย
ศิษย์: สลาย
พระ อาจารย์: งั้น ก็ไม่ใช่ เมล็ดอีกใช่มั๊ยที่เป็นตัวก่อให้เกิดต้น แสดงว่ามันอยู่ข้างในใช่มั๊ย เรามองเห็นมันมั๊ย
ศิษย์: ใช่ ไม่เห็น
พระ อาจารย์: คนก็เหมือนกัน มนุษย์ ก็เช่นเดียวกับสัตว์ ทั้งหลาย พืชก็เหมือนกัน เชื้อเกิดมันมีอยู่นิดเดียว มองไม่เห็น มนุษย์ ก็มีจิตที่เป็นเชื้อ มองไม่เห็น ดังนั้น การที่จะเกิดอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้นั้นว่า จิตครั้งสุดท้ายพอใจที่จะมาเกิดอีกหรือไม่ อันนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็ว่า เป็นปัจจักตัง อีกเช่นกัน

คำสอนจาก หลวงพ่อ ทองคำ สำนักปฏิบัติธรรม บ้านสันกู่ อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่เรื่อง อัฐิธาตุ

คำถาม: เคยได้ยินมาว่า พระเกจิ ทำไมถึงเปลี่ยนธาตุได้ เป็นแก้วเป็น อะไรประมาณนี้ แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า ก็เป็น พระบรมสารีริกธาตุ
คำตอบจาก พระ อาจารย์: เคยเห็นไหม
ศิษย์: เคยเห็นแต่รูป แต่ไป วัดถ้ากลองเพล หลวงปู่ขาว ก็เห็นวางอยู่ให้ดู แต่ก็ไม่แน่ใจ ว่าใช่ไหม
พระ อาจารย์: ถ้าเคยเห็น ก็แปลว่ามีใช่ไหม
ศิษย์: แล้วธาตุในร่างกายมนุษย์ เปลี่ยนได้อย่างไร
พระ อาจารย์: พูดผิด ตั้งคำถามผิด ธาตุจะเปลี่ยนได้อย่างไร
ศิษย์: อ้าว งง ครับ
พระ อาจารย์: ก็ธาตุในโลกนี้มีกี่ธาตุ มีธาตุอะไรบ้าง
ศิษย์: ดิน น้ำ ลม ไฟ มี 4 ธาตุ
พระ อาจารย์: แล้วอย่างนี้เราจะเปลี่ยน ลม เป็นดิน ได้มั๊ย น้ำ เป็นไฟ ได้มั๊ย
ศิษย์: ไม่ได้ แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่อง อัฐิธาตุ
พระ อาจารย์: อ้าว ก็ในร่างกายเรา อะไร เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ กระดูกเป็นอะไร
ศิษย์: น่าจะเป็น ดิน
พระ อาจารย์: ร่างกายมนุษย์ ก็เหมือนกับสัตว์ ทุกชนิด รวมปนกันอยู่เหมือนแกงโฮ๊ะ มะเขือ ที่อยู่ในนั้นก็คือมะเขือ แต่เมื่อเรานำมาปรุง เป็นแกงโฮ๊ะ เราก็เรียกว่า แกง โฮ๊ะ
ศิษย์: งง อีก แล้วเกี่ยวอะไรกับ เรื่อง อัฐิธาตุ
พระ อาจารย์: อ้าว ก็ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็เพียงแค่ ปฏิบัติ จนกระทั่งนำจิต ไปขัดเกลาจำแนก แร่ธาตุ ต่างๆในร่างกายออกมา จนกระทั่งหมดจด ละทิ้งความเป็นตัวตนอย่างแท้จริง ทุกสิ่งในสังขารก็กลับคืนสู่ธรรมชาติจนหมดสิ้นเมื่อละสังขาร เท่านั้นแล
ศิษย์: หลวงพ่อทำให้ผมทึ่งอีกแล้วครับ นั่น แสดงถึงว่า ทุกผู้ทุกคนก็มาจากจุดกำเนิดเดียวกันนั่นก็คือ ธรรมชาติ หรือ ถ้าพูดอีกนัยหนึ่ง ทุกคนเกิดมาบนโลกมนุษย์ ก็เป็นชิ้นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ได้ไหมครับ
พระ อาจารย์: ก็จะว่ากันอย่างนี้ก็ได้
ศิษย์: โอ้ แล้วทุกวันนี้คน ดิ้นรน หาฆ่าฟันกันเพื่อสิ่งใดเล่านี่ ถึงว่าพระพุทธองค์จึงตั้งศีลข้อ ปาณาติปตา ไว้เป็นข้อที่ 1

คำสอนจาก หลวงพ่อ ทองคำ สำนักปฏิบัติธรรม บ้านสันกู่ อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่เรื่อง การถ่ายทอดความจำ

คำถาม: ทำไมนั่งปฏิบัติธรรม แล้ว จึงคิดเยอะ ?
คำตอบจาก พระ อาจารย์: แล้วที่คิดน่ะเป็นเรื่องของใคร เรื่องที่คิดใครเจอ
ศิษย์: ก็ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เราเจอ เอง
พระ อาจารย์: เป็นเรื่องคนอื่นเจอ ได้มั๊ย ถ้าเขาไม่ได้เล่าให้เราฟัง
ศิษย์: ไม่ได้
พระ อาจารย์: ดังนั้นสรุปแล้วเป็นเรื่องของเค้า หรือ ของเราที่รู้ ที่คิด
ศิษย์: เป็นเรื่องของเรา
พระ อาจารย์: แล้วเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิด หรือ เป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว ชาตินี้ หรือ ชาติที่แล้ว
ศิษย์: ชาตินี้ บางเรื่องก็นานจนลืม บางเรื่อง ก็เพิ่งเกิด บางเรื่องเป็นเรื่องที่เราคิดจะทำแต่ไม่ได้ทำ
พระ อาจารย์: เรามักจะถูกสอนว่า เรื่องสำคัญ เรื่องเร่งด่วน ให้จัดมันก็เลยมีหลายเรื่องที่เราละเลยไป แท้จริงแล้ว มันก็สำคัญหมดนั่นแหละ เรามัวแต่ไปทำสิ่งที่ได้รายได้ ที่เราคิดว่าสำคัญก่อน ก็เลยละเลยไปหลายเรื่อง จิตเรารู้ว่ายังไม่ได้ทำ ก็เลยมาแสดงให้เราดูว่ามันยังไม่เสร็จนะ ให้รีบไปทำซะ
ศิษย์: แล้วมันจะหยุดคิดได้อย่างไร
พระ อาจารย์: เรื่องนี้เป็นของเรา ใช่ไหม มันก็เหมือนข้อมูลที่เราเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ ใครเป็นคนเก็บ
ศิษย์: เราเก็บ
พระ อาจารย์: แล้วคนอื่นจะรู้ที่เก็บของเรามั๊ย
ศิษย์: ไม่รู้
พระ อาจารย์: แล้วคนอื่นจะลบข้อมูลของเราได้มั๊ย
ศิษย์: ไม่ได้
พระ อาจารย์: แล้วทีนี่ใครควรจะลบล่ะทีนี้ ความคิดเราเอง
ศิษย์: โอ้ เข้าใจแล้ว ขอขอบคุณ หลวงพ่อที่ให้ความกระจ่าง

เปิดตัวบทความฟรี Dhamma Delivery

ยินดีต้อนรับสู่บทความฟรีๆ ของ ธรรมะ Delivery (Dhamma Delivery) มุ่งเน้นเนื้อหาของ ธรรมมะปฏิบัติ ที่ได้จากการสนทนาธรรม หลังปฏิบัติ บทความนี้ ไม่ได้คาดหวังสิ่งตอบแทนใดๆ เพียงแต่มุ่งเน้นการเผยแผ่ธรรมะ เท่านั้น
การ update ข้อมูลนั้นไม่ได้จำกัดช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับเวลาจะอำนวย สำหรับบทความ อื่นๆ หรือ ผู้สนับสนุนที่เกี่ยวข้อง ได้มีการปิดประกาศไว้ ด้านขวามือของบทความ สำหรับท่านใดที่สนใจสามารถ คลิ๊ก เข้าไปดูได้ตามอัธยาศรัย